รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - ว่าที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เริ่มต้นการตระเวน “ทัวร์ขอบคุณ” ภายหลังการเลือกตั้งของเขาในวันพฤหัสบดี (1 ธ.ค.) ด้วยการประณามกระแสโลกาภิวัตน์, ประกาศคำมั่นว่าจะนำตำแหน่งงานด้านการผลิตทางอุตสาหกรรมกลับคืนมาให้แก่พวกคนงานอเมริกัน และสัญญาว่าจะปิดพรมแดนสหรัฐฯไม่ต้อนรับผู้อพยพจากบางประเทศในตะวันออกกลาง
ระหว่างกล่าวปราศรัยในสนามกีฬาที่เมืองซินซินเนติ, รัฐโอไฮโอ ซึ่งมีผู้คนไปรวมตัวกันราวสามในสี่ของสนาม ทรัมป์ปลุกเร้าฝูงชนด้วยการกล่าวโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าต่อสื่อมวลชน “ที่ไม่มีความซื่อสัตย์อย่างที่สุด” และกล่าวย้ำให้คำมั่นแบบนักประชานิยมอย่างที่ได้สร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้ออกเสียงชาวอเมริกันหลายสิบล้านคน
“ไม่มีอีกแล้วเพลงสรรเสริญโลก, ไม่มีอีกแล้วสกุลเงินตราของโลก, ไม่มีอีกแล้วบัตรประจำตัวพลเมืองของโลก เราปฏิญาณว่าจะจงรักภักดีต่อธงชาติเพียงหนึ่งเดียว และธงชาติดังกล่าวก็คือธงชาติอเมริกัน” ทรัมป์บอก
“ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจะต้องเป็นอเมริกามาก่อน อเมริกาเป็นอันดับแรก โอเคไหม?” ทรัมป์ กล่าวขณะเขาเน้นย้ำว่า จะมีการสร้างตำแหน่งงานใหม่ๆ ขึ้นมา จากข้อตกลงการค้าทั้งหลายซึ่งเขาตั้งใจที่จะเปิดการเจรจาต่อรองเงื่อนไขต่างๆ กันใหม่ นี่ก็รวมถึงข้อตกลงการค้าเสรีแห่งอเมริกาเหนือ (นาฟตา) ด้วย
เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์แห่งนิวยอร์กผู้นี้ ยังอ้างอิงถึงเหตุโจมตีในวิทยาเขตเมืองโคลัมบัส ของมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตท เมื่อต้นสัปดาห์นี้ โดยฝีมือของนักศึกษาที่เป็นผู้อพยพชาวโซมาเลีย และกล่าวว่า ภัยคุกคามต่อชาวอเมริกันเช่นนี้ “สร้างขึ้นมาโดยพวกนักการเมืองงี่เง่าสุดๆ ของเราเอง (ที่จัดทำ)โครงการผู้ลี้ภัยทั้งหลาย (ขึ้นมา)”
เพื่อรักษาให้สหรัฐฯปลอดภัยไม่ถูกโจมตีต่อไปอีก ทรัมป์ บอกว่า เขาจะระงับไม่รับผู้อพยพ “จากภูมิภาคต่างๆ ซึ่งมันไม่สามารถที่จะดำเนินกระบวนการตรวจสอบผู้อพยพอย่างปลอดภัยได้” รวมทั้งจากบางประเทศในตะวันออกกลางด้วย
“ผู้คนกำลังหลั่งไหลเข้ามาจากภูมิภาคต่างๆ ของตะวันออกกลาง เราไม่มีไอเดียเลยว่าพวกเขาเป็นใครกันบ้าง พวกเขามาจากไหน พวกเขามีความคิดอ่านยังไง และเรากำลังจะยุติการปฏิบัติที่ไม่เข้าท่าเช่นนั้น” ทรัมป์กล่าว
ก่อนหน้านี้ ระหว่างช่วงรณรงค์หาเสียง ทรัมป์ยังเคยบอกว่าเขาจะยุติไม่ให้ชาวมุสลิมทั้งหมดเดินทางเข้าสหรัฐฯทีเดียว
ในข้อความทางทวิตเตอร์ที่เขาส่งออกไปก่อนขึ้นปราศรัยเมื่อวันพฤหัสบดี (1) ทรัมป์บอกว่า: “ไอซิส (ไอเอส) กำลังอ้างตัวเป็นผู้รับผิดชอบสำหรับการโจมตีด้วยการไล่แทงอย่างสยดสยองในมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตท โดยฝีมือของผู้ลี้ภัยชาวโซมาเลียคนหนึ่งซึ่งไม่ควรที่จะได้เข้ามาในประเทศของเราเลย”
ทางด้านสภาว่าด้วยความสัมพันธ์อเมริกัน - อิสลาม (Council on American-Islamic Relations) ซึ่งเป็นองค์กรของชาวอเมริกันที่เป็นมุสลิม ได้ตอบโต้โดยกล่าวหาว่า ทรัมป์กำลังพยายามฉกฉวยหาประโยชน์จาก “สถานการณ์อันน่าเศร้าสลดในโอไฮโอ”
ปกป้องรักษาตำแหน่งงานในอเมริกา
ทรัมป์กล่าวปราศรัยคราวนี้ในช่วงสิ้นสุดของวันที่เขาเดินทางตระเวนไปหลายจุด รวมทั้งไปยังรัฐอินดีแอนาซึ่งอยู่ติดๆ กับโอไฮโอ เพื่อเฉลิมฉลองการที่บริษัท แคร์เรียร์คอร์ป ผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศชื่อดัง ตัดสินใจที่จะคงตำแหน่งงานราว 1,000 ตำแหน่งเอาไว้ในสหรัฐฯต่อไป แทนที่จะโยกย้ายไปยังเม็กซิโกตามแผนการเดิม
แคร์เรียร์ตัดสินใจเช่นนี้ภายหลังที่ทรัมป์ ซึ่งตั้งแต่ในช่วงการรณรงค์หาเสียงอันยาวนานแล้ว ได้เรียกร้องอย่างเปิดเผยให้บริษัทคงตำแหน่งงานเอาไว้ในเมืองอินเดียนโพลิส อีกทั้งข่มขู่ที่จะลงโทษเล่นงานพวกบริษัทอเมริกันทั้งหลาย ซึ่งโยกย้ายการดำเนินงานไปยังต่างประเทศ ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าอย่างโหดๆ
ผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศแบรนด์ดังของอเมริกันแห่งนี้ ซึ่งบริษัทแม่คือบริษัท ยูไนเต็ดเทคโนโลยีส์ ยังคงตั้งใจที่จะโยกย้ายตำแหน่งงานอื่นๆ อีก 1,300 ตำแหน่งจากรัฐอินดีแอนาไปยังเม็กซิโก
ช่วงเวลาก่อนถึงวันที่ 20 มกราคมปีหน้า ซึ่งเขาจะเข้าสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดี เป็นที่คาดหมายกันว่า ทรัมป์ยังจะเดินทางออกทัวร์ไปตามเมืองใหญ่ต่างๆ ในรัฐ “สวิงสเตท” (swing state รัฐซึ่งผู้ออกเสียงไม่ได้ผูกพันกับพรรคใดพรรคหนึ่งอย่างชัดเจน) ทั้งหลายเฉกเช่นโอไฮโอ ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้เขาได้รับชัยชนะอย่างสุดช็อกในการเลือกตั้งวันที่ 8 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา
ระหว่างกล่าวปราศรัยเป็นเวลาร่วมชั่วโมงในเมืองใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของมลรัฐโอไฮโอแห่งนี้ ทรัมป์สัญญาที่จะดำเนินการตัดลดภาษีอย่างใหม่ๆ ให้แก่ชนชั้นกลาง, ยกเลิกระเบียบกฎหมายของรัฐบาลกลาง ซึ่งเขากล่าวว่าสร้างความเสียหายให้บริษัทต่างๆ และสร้างกำแพงตามแนวพรมแดนด้านตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐฯซึ่งติดต่อกับเม็กซิโก
ขณะที่เขาสัญญาในคำปราศรัยว่าจะพูดเกี่ยวกับ “แผนปฏิบัติการ” ซึ่งจะใช้เป็นแนวทางปฏิบัติตั้งแต่ที่คณะบริหารของเขาเริ่มทำงาน แต่เอาเข้าจริงแล้ว ทรัมป์ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดใหม่ใดๆ เกี่ยวกับนโยบายต่างๆ ซึ่งเขาประกาศผลักดันตั้งแต่เริ่มต้นรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี 2015