รอยเตอร์ - เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นบ่นอุบ ยังไม่รู้เวลาและสถานที่ในการพบปะระหว่างทรัมป์ กับอาเบะ แม้นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นบินจากโตเกียวมุ่งหน้านิวยอร์กแล้วก็ตาม ด้านกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เผย ไม่ได้รับการติดต่อจากทีมทรัมป์ให้ประสานงานนัดหมายดังกล่าว รายงานยังระบุว่า ทรัมป์แหวกธรรมเนียมปฏิบัติเกี่ยวกับลำดับผู้นำต่างชาติที่ต้องพบปะหารือ
นายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเกียวโด เมื่อวันพฤหัสฯ (17) ก่อนออกเดินทางสู่นิวยอร์ก เพื่อพบกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า การเป็นพันธมิตรระหว่างอเมริกา กับญี่ปุ่น เป็นหลักชัยสำคัญด้านการทูตและความมั่นคงของญี่ปุ่น และความไว้ใจเท่านั้นที่จะทำให้การเป็นพันธมิตรอยู่รอดได้
ด้านที่ปรึกษาทรัมป์ คาดว่า ทรัมป์จะใช้โอกาสการพบกับอาเบะ ยืนยันความมุ่งมั่นของอเมริกาในการคงอยู่ในภูมิภาคแปซิฟิกระยะยาว และว่า อาจมีการหยิบยกเรื่องการสนับสนุนทางการเงินของโตเกียว สำหรับการประจำการของกองกำลังอเมริกันในญี่ปุ่นขึ้นหารือ แต่คงยังไม่มีการเน้นย้ำประเด็นนี้มากนัก
ทั้งนี้ ระหว่างหาเสียง ทรัมป์ ประกาศว่า ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ควรมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง และเรียกร้องให้ชาติพันธมิตรให้เงินอัดฉีดสำหรับการประจำการของกองกำลังสหรัฐฯ ในประเทศเหล่านั้น ไม่เช่นนั้น อาจมีการสั่งถอนกำลังกลับบ้าน
อาเบะจะถือเป็นผู้นำต่างชาติคนแรกที่ได้พบกับทรัมป์ นับจากมหาเศรษฐีนิวยอร์กผู้นี้ชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 พ.ย. ที่ผ่านมา
กระนั้น รายละเอียดการพบปะยังขาดความชัดเจน และทีมผ่องถ่ายอำนาจของทรัมป์ไม่ยอมตอบคำถามสื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ ขณะที่เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นเปิดเผยเมื่อวันพุธ (16) ว่า ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า อาเบะจะพบกับทรัมป์เมื่อใด และที่ไหนของนิวยอร์ก จะมีใครได้รับเชิญบ้าง ซ้ำร้ายยังไม่รู้ว่า ต้องติดต่อประสานงานกับใคร
ความไม่แน่นอนในการนัดหมายดังกล่าว ฟ้องถึงปัญหาในการเปลี่ยนแปลงทรัมป์จากนักธุรกิจไร้กฎเกณฑ์สู่ตำแหน่งประธานาธิบดี ที่มีกำหนดการแน่นเอี้ยด และควบคุมคณะบริหารที่มีภารกิจล้นมือนับจากวันที่ 20 มกราคมปีหน้า
ขณะเดียวกัน จอห์น เคอร์บี โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เผยว่า กระทรวงไม่ได้รับการติดต่อจากทีมงานของทรัมป์ ทั้งในเรื่องการผ่องถ่ายอำนาจ หรือการขอข้อมูลก่อนการพบกับผู้นำต่างชาติ ทั้งหมดนี้เท่ากับว่า ยังไม่มีการตัดสินใจรายละเอียดด้านโลจิสติกส์ และพิธีการต่างๆ สำหรับการพบกันระหว่างทรัมป์ กับอาเบะ ทั้งที่ปกติแล้วต้องเตรียมการล่วงหน้ากันยาวนาน
ทว่า การนัดหมายครั้งนี้ เพิ่งตกลงกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และตอนนี้ทรัมป์และเหล่าที่ปรึกษาก็กำลังวุ่นวายกับการคัดสรรคณะรัฐมนตรี และตำแหน่งทางการเมืองต่างๆ ในคณะบริหารชุดใหม่
.
.
ทั้งนี้ แม้บางครั้งผู้นำโลกอาจนัดหารือทวิภาคีกันแบบหลวมๆ ระหว่างเข้าร่วมประชุมระดับภูมิภาค แต่เป็นเรื่องผิดปกติอย่างมากที่ผู้นำต่างชาติจะนัดหารือทางการทูตระดับสูงในอเมริกา โดยที่ไม่มีการวางแผนการโดยละเอียด
ทรัมป์ยังแหวกธรรมเนียมปฏิบัติเกี่ยวกับลำดับของผู้นำประเทศที่ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะสนทนาทางโทรศัพท์หลังชนะการเลือกตั้ง กล่าวคือ แทนที่จะเป็นพันธมิตรใกล้ชิดอย่างผู้นำอังกฤษ และเยอรมนี แต่กลายเป็นประธานาธิบดี อับเดล ฟัตตาห์ อัล-ซิซี นายพลที่ยึดอำนาจและขึ้นบริหารรัฐนาวาอียิปต์เมื่อสามปีที่แล้ว ที่เป็นผู้นำต่างชาติคนแรกที่ได้โทร.แสดงความยินดีกับทรัมป์หลังการเลือกตั้ง
สื่อออสเตรเลียยังรายงานว่า นายกรัฐมนตรี มัลคอล์ม เทิร์นบูล เป็นผู้นำรายที่สองที่ต่อสายถึงทรัมป์ หลังจากเอกอัครราชทูตออสซีในสหรัฐฯ ขอเบอร์ส่วนตัวของทรัมป์จากเกร็ก นอร์แมน นักกอล์ฟชื่อดังของออสเตรเลีย ที่เป็นเพื่อนกับว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
และแม้ทรัมป์ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับผู้นำอย่างน้อย 29 ชาติ ซึ่งรวมถึงอังกฤษ เยอรมนี ตุรกี และพันธมิตรอื่นๆ แต่ที่สร้างความฮือฮามากที่สุด คือ การคุยกับประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย เมื่อวันจันทร์ (14) ซึ่งทั้งคู่เห็นพ้องกันว่า ควรมีการร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ ที่ทำให้ชาวเดโมแครต และสมาชิกอนุรักษนิยมในรีพับลิกันพากันกังวลเกี่ยวกับการคืนชีพของมอสโก
ทรัมป์ยังพบกับ ไนเจล ฟาราจ ผู้สนับสนุนให้อังกฤษถอนตัวจากสหภาพยุโรป ที่ทรัมป์ ทาวเวอร์ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งที่ยังไม่เคยพบหรือนัดพบกับนายกรัฐมนตรี เทเรซา เมย์ ของอังกฤษด้วยซ้ำ
เคอร์บี ทิ้งท้ายว่า ไม่ได้รับการติดต่อจากทีมงานทรัมป์ แต่สำทับว่า กระทรวงต่างประเทศไม่มีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติ หรือคัดค้านการหารือของว่าที่ประธานาธิบดี กับผู้นำต่างชาติ ไม่ว่าในขณะนี้หรือในอนาคต