เอพี / เอเจนซีส์ / MGR online - ยอดผู้เสียชีวิตจากการสู้รบระหว่างทหารรัฐบาลซูดานใต้กับฝ่ายกบฏในพื้นที่จังหวัดจองเลทางตะวันออกของประเทศได้เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างน้อย 275 รายแล้ว
รายงานข่าวซึ่งอ้างการเปิดเผยของ พันเอก ฟิลลิป อกูเออร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจองเล ระบุ ยอดผู้เสียชีวิตจากการปะทะกันอย่างดุเดือดระหว่างทหารฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายกบฏในพื้นที่ของจังหวัดซึ่งตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของซูดานใต้แห่งนี้ได้เพิ่มจำนวนสูงขึ้นเป็นอย่างน้อย 275 รายแล้ว นับตั้งแต่ที่การสู้รบเปิดฉากขึ้นเมื่อวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา
ข้อมูลจากการเปิดเผยของผู้ว่าราชการจังหวัดจองเลในวันพุธ (24 ส.ค.) ระบุว่า ในจำนวนผู้เสียชีวิตล่าสุดที่มีจำนวนอย่างน้อย 275 รายนั้น มีนักรบของฝ่ายกบฏรวมอยู่ด้วยมากถึง 242 ราย และมีพลเรือนอย่างน้อย 10 รายรวมอยู่ด้วย
อย่างไรก็ดี เจมส์ กัตเดต โฆษกกองกำลังฝ่ายกบฏในซูดานใต้ ออกมาแถลงตอบโต้ โดยระบุมีกำลังพลของฝ่ายตนถูกสังหารไปเพียงแค่ 30 นายเท่านั้นจากการปะทะกับทหารฝ่ายรัฐบาลในพื้นที่จังหวัดดังกล่าวที่เป็นบ้านของประชากรซูดานใต้ราว 140,000 คน
ข่าวการปะทะกันอย่างหนักหน่วงระหว่างทหารรัฐบาลซูดานใต้กับฝ่ายกบฏถูกเผยแพร่ออกมาเพียง 1 วันหลังจากมีการยืนยันว่าอดีตรองประธานาธิบดี รีค มาชาร์ แห่งซูดานใต้ ที่เป็นผู้นำสูงสุดของฝ่ายกบฏ เดินทางถึงกรุงคาร์ทูม เมืองหลวงของซูดานแล้วเพื่อเข้ารับการตรวจรักษาทางการแพทย์ ทั้งนี้เป็นการยืนยันจากคำแถลงล่าสุดของรัฐบาลซูดานในวันอังคาร (23 ส.ค.)
“ซูดานตอบรับการขอเดินทางเข้าประเทศของรีค มาชาร์ บนพื้นฐานของหลักมนุษยธรรม ทั้งนี้ก็เพื่อเปิดโอกาสให้เขาได้พบแพทย์ และเขาสามารถพักรักษาตัวอยู่ในประเทศของเราได้นานตราบเท่าที่เขาต้องการ” อาเหม็ด บิลาล โฆษกรัฐบาลซูดานแถลง
อย่างไรก็ดี โฆษกรัฐบาลซูดานมิได้เปิดเผยรายละเอียดใดๆ ว่าอดีตรองประธานาธิบดีและแกนนำฝ่ายกบฏในซูดานใต้ผู้นี้เดินทางเข้าสู่ซูดานตั้งแต่เมื่อใด มีเพียงการยืนยันว่ามาชาร์จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจรักษากับแพทย์อย่างเร่งด่วน โดยที่อาการล่าสุดของเขายังคงทรงตัว
ก่อนหน้านี้ ฟาร์ฮาน ฮัก โฆษกประจำภารกิจขององค์การสหประชาชาติในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (MONUSCO) ออกคำแถลงในวันที่ 18 ส.ค. ยืนยันว่ารองประธานาธิบดี รีค มาชาร์ ผู้นำฝ่ายกบฏในประเทศเพื่อนบ้านอย่างซูดานใต้ ได้เดินทางเข้ามาลี้ภัยในอดีตดินแดนอาณานิคมของเบลเยียมแห่งนี้แล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา
คำแถลงของโฆษกประจำภารกิจของยูเอ็นในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกระบุ รองประธานาธิบดี รีค มาชาร์ ผู้นำฝ่ายกบฏซูดานใต้ ได้ยื่นขอลี้ภัยในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ซึ่งทางสหประชาชาติก็ได้รับการร้องขอจากรัฐบาลในกรุงคินชาซาให้ช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางของมาชาร์ ก่อนจะส่งมอบตัวเขาให้ทางรัฐบาลคองโกอย่างปลอดภัยแล้ว
“เราขอยืนยันว่าสหประชาชาติได้ให้ความช่วยเหลือแก่มาชาร์ในการขอลี้ภัยในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกครั้งนี้ด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม โดยการช่วยเหลือซึ่งรวมถึงการเดินทางไปรับตัวมาชาร์ และการส่งแพทย์ไปตรวจสุขภาพของเขานั้น เกิดขึ้นใกล้กับชายแดนซูดานใต้” โฆษก MONUSCO เผย
อย่างไรก็ดี โฆษกประจำภารกิจของยูเอ็นในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเพิ่มเติมใดๆ เกี่ยวกับสถานที่พักของมาชาร์ ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย
ก่อนหน้านี้มีรายงานซึ่งอ้างแหล่งข่าวที่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง “SPLM-IO” ของมาชาร์ว่า รองประธานาธิบดีซูดานใต้ผู้นี้ได้เดินทางถึงกรุงคินชาซา ที่เป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกอย่างปลอดภัยแล้ว โดยการช่วยเหลือของสหประชาชาติ และมีแผนในการเดินทางต่อไปยังเอธิโอเปียในไม่ช้า
การตัดสินใจเดินทางหลบหนีออกจากซูดานใต้ของมาชาร์มีขึ้นภายหลังจากที่สงครามกลางเมืองและความขัดแย้งที่นำไปสู่การฆ่าฟันนองเลือดระลอกใหม่ได้ปะทุขึ้นอีกในซูดานใต้เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ถึงแม้สงครามกลางเมืองระลอกที่แล้วจะเพิ่งปิดฉากยุติลงไปเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2015 หลังคู่ขัดแย้งยอมหันหน้าเข้าพูดคุยกันและตกลงจะจับมือกันตั้ง “รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ” ในประเทศเอกราชน้องใหม่ของโลกแห่งนี้ที่เพิ่งได้ลิ้มรสอิสรภาพ หลุดพ้นจากการปกครองของซูดานมาได้เพียง 5 ขวบปี ผ่านกระบวนการลงประชามติเมื่อ 9 กรกฎาคม ปี 2011 หลังจากที่ทั้ง “สองซูดาน” เปิดฉากทำสงครามกลางเมืองกันมายาวนานในระหว่างปี ค.ศ. 1983-2005
สงครามกลางเมืองระลอกที่แล้วในซูดานใต้ปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ปี 2013 หรือหลังจากที่ซูดานใต้เป็นเอกราชได้เพียง 2 ขวบปี และความขัดแย้งนี้เพิ่งสิ้นสุดลงเมื่อ 26 สิงหาคมในปีที่แล้ว โดยต้องแลกกับยอดผู้เสียชีวิตภายในประเทศที่คาดว่าอาจมีจำนวนสูงเกินกว่า 300,000 ราย ยังไม่นับรวมพลเรือนอีกมากกว่า 1,860,000 รายที่ต้องอพยพหนีตายออกจากถิ่นฐานบ้านเรือนของตน
ก่อนหน้านี้องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ออกโรงเตือนเมื่อ 12 ก.ค.ที่ผ่านมาถึงหายนะที่จะเกิดขึ้นตามมาหลังสงครามกลางเมืองรอบใหม่ปะทุขึ้นในประเทศนี้ โดยระบุว่าราว 3 ใน 4 ของประชากรซูดานใต้ในเวลานี้ตกอยู่ในสภาวะที่ต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน หลังประเทศของตนถลำกลับเข้าสู่วังวนแห่งความขัดแย้งภายในและสงครามกลางเมืองรอบใหม่
เอตาแร็ง กูแซ็ง ผู้อำนวยการ “โครงการอาหารโลก” แห่งสหประชาชาติ (UN’s World Food Program) ออกมาระบุว่า สงครามกลางเมืองที่ปะทุขึ้นใหม่ถือเป็นข่าวร้ายสำหรับประชากรซูดานใต้ที่อดอยากหิวโหยและมีชีวิตที่ทุกข์ยากอยู่เป็นทุนเดิมให้ต้องเผชิญกับชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งขึ้น
ซูดานใต้ ประเทศเอกราชเกิดใหม่แห่งล่าสุดของโลก ถลำกลับเข้าสู่ภาวะสงครามกลางเมืองอีกครั้ง หลังทหารฝ่ายรัฐบาล และกองกำลังฝ่ายกบฏเปิดฉากการสู้รบอย่างดุเดือดในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องมากกว่า 300 ราย ท่ามกลางรายงานข่าวที่ยังไม่มีการยืนยันว่าจำนวนผู้เสียชีวิตที่แท้จริงอาจมีเกินกว่า 1,000 ราย
ขณะเดียวกัน องค์การสหประชาชาติระบุด้วยว่า ความขัดแย้งรอบใหม่ที่ปะทุขึ้นในซูดานใต้ส่งผลให้มีประชากรไม่ต่ำกว่า 36,000 รายต้องอพยพหนีตายออกจากกรุงจูบาที่เป็นเมืองหลวง
ด้านรายงานข่าวซึ่งอ้าง พ.อ.วิลเลียม กัตจิอัธ โฆษกกองกำลังฝ่ายกบฏของรองประธานาธิบดี รีค มาชาร์ ออกมาเปิดเผยต่อ “บีบีซี” สื่อดังของอังกฤษ โดยระบุว่าประธานาธิบดีซัลวา คิอีร์ ผู้นำซูดานใต้ “ไม่จริงจัง” และ “ไม่จริงใจ” ต่อการยึดมั่นในข้อตกลงสันติภาพที่ทำไว้กับฝ่ายกบฏ และกล่าวหาทหารของฝ่ายรัฐบาลว่าเป็นฝ่ายที่เปิดฉากโจมตีก่อนต่อที่มั่นของฝ่ายกบฏในกรุงจูบาที่เป็นเมืองหลวงของประเทศในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งนั่นบีบให้ฝ่ายกบฏต้องหันหลังให้กับกระบวนการสันติภาพ และหันมาจับอาวุธทำสงครามกลางเมืองกับฝ่ายรัฐบาลอีกครั้ง