xs
xsm
sm
md
lg

กองทัพยูกันดาอพยพพลเรือน 38,000 คนออกจากพื้นที่สู้รบในสงครามกลางเมืองซูดานใต้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ภาพจากเอเอฟพี
เอเจนซีส์ / MGR online - กองทัพยูกันดาเข้าอพยพพลเรือนจำนวน 38,000 คนที่ติดอยู่ท่ามกลางสมรภูมิสงครามกลางเมืองรอบใหม่ที่ปะทุขึ้นตั้งแต่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมาในกรุงจูบา เมืองหลวงของซูดานใต้

แพดดี อันกุนดา โฆษกกองทัพยูกันดา แถลงในวันพุธ (20 ก.ค.) โดยระบุว่า กองกำลังพิทักษ์ประชาชนยูกันดา (ยูพีดีเอฟ) ได้เข้าปฏิบัติภารกิจในการอพยพพลเรือนออกจากซูดานใต้จำนวนถึง 38,000 คน ซึ่งแม้ส่วนใหญ่ในจำนวนนี้จะเป็นชาวยูกันดา แต่ก็มีพลเมืองของเคนยา รวันดา และอีกหลายประเทศรวมอยู่ด้วยซึ่งทั้งหมดติดค้างอยู่ในพื้นที่สู้รบและต่างต้องการเดินทางออกจากซูดานใต้เพื่อความปลอดภัย

โฆษกกองทัพยูกันดาระบุว่า การอพยพพลเรือนดังกล่าวออกจากซูดานใต้นั้น ทางกองกำลังพิทักษ์ประชาชนยูกันดา (ยูพีดีเอฟ) ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค.แล้วโดยใช้ขบวนรถที่มีการคุ้มกันแน่นหนากว่า 30 คันในการอพยพนำผู้คนไปยังชายแดนยูกันดาที่อยู่ห่างจากกรุงจูบา เมืองหลวงของซูดานใต้เป็นระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร

ด้านสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) เผยว่า ระหว่างวันที่ 15-19 ก.ค.ที่ผ่านมามีประชาชนชาวซูดานใต้จำนวนกว่า 10,300 คนเดินทางไปยังชายแดนด้านที่ติดต่อกับยูกันดาเพื่อขอลี้ภัย

การปะทุรอบใหม่ของการสู้รบในซูดานใต้ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วมากกว่า 300 ราย กลายเป็นประเด็นร้อนที่ปกคลุมบรรยากาศการประชุมสุดยอดผู้นำองค์การสหภาพแอฟริกัน (เอยู ซัมมิต) ที่เปิดฉากขึ้นในวันอาทิตย์ (17 ก.ค.) ที่กรุงคิกาลี เมืองหลวงของรวันดา

การปะทุรอบใหม่ของการสู้รบในซูดานใต้ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วมากกว่า 300 ราย และบีบให้ประชาชนกว่า 40,000 รายต้องอพยพหนีตายออกจากบ้านเรือนของตน ส่งผลให้เกิดคำถามของการคงอยู่ของข้อตกลงสันติภาพที่มีการลงนามโดยคู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่ายที่นำโดยประธานาธิบดีซัลวา คิอีร์ และรองประธานาธิบดีรีค มาชาร์ เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว

รายงานข่าวระบุว่า เอ็นโกซาซานา ดลามินี-ซูมา ข้าหลวงใหญ่ขององค์การสหภาพแอฟริกัน (เอยู) ออกโรงเรียกร้องให้คู่ขัดแย้งในซูดานใต้เร่งหาทางยุติการสู้รบที่ปะทุขึ้นใหม่โดยเร็ว และประเด็นความขัดแย้งในซูดานใต้นี้กลายเป็นหัวข้อหลักที่ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือในการประชุมซัมมิตผู้นำ 54 ชาติของเอยูที่เมืองหลวงของรวันดา

ก่อนหน้านี้ องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ออกโรงเตือน โดยระบุว่าราว 3 ใน 4 ของประชากรซูดานใต้ในเวลานี้ตกอยู่ในสภาวะที่ต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน หลังประเทศของตนถลำกลับเข้าสู่วังวนแห่งความขัดแย้งภายในและสงครามกลางเมืองรอบใหม่

เอตาแร็ง กูแซ็ง ผู้อำนวยการโครงการอาหารโลกแห่งสหประชาชาติ (UN’s World Food Program) ออกมาระบุว่าสงครามกลางเมืองที่ปะทุขึ้นใหม่ถือเป็นข่าวร้ายสำหรับประชากรซูดานใต้ที่อดอยากหิวโหยและมีชีวิตที่ทุกข์ยากอยู่เป็นทุนเดิมให้ต้องเผชิญกับชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งขึ้น

ซูดานใต้ ประเทศเอกราชเกิดใหม่แห่งล่าสุดของโลก ถลำกลับเข้าสู่ภาวะสงครามกลางเมืองอีกครั้งหลังทหารฝ่ายรัฐบาลและกองกำลังฝ่ายกบฏเปิดฉากการสู้รบอย่างดุเดือดในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นอย่างน้อย 300 ราย

“ราว 3 ใน 4 ของประชากรซูดานใต้ในเวลานี้ตกอยู่ในสภาวะที่ต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน” กูแซ็งกล่าว พร้อมเผยว่าบรรดาเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมต่างประสบความยากลำบากในการปฏิบัติงานตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา และต้องใช้เวลาส่วนใหญ่หลบระเบิดอยู่แต่ภายใน “บังเกอร์ใต้ดิน” ภายในกรุงจูบา

ก่อนหน้านี้ องค์การสหประชาชาติระบุว่า ความขัดแย้งรอบใหม่ที่ปะทุขึ้นในซูดานใต้ ส่งผลให้มีประชากรไม่ต่ำกว่า 40,000 รายต้องอพยพหนีตายออกจากกรุงจูบาที่เป็นเมืองหลวง

ด้านรายงานข่าวซึ่งอ้าง พ.อ.วิลเลียม กัตจิอัท โฆษกกองกำลังฝ่ายกบฏของรองประธานาธิบดีรีค มาชาร์ ออกมาเปิดเผยต่อ “บีบีซี” สื่อดังของอังกฤษ โดยระบุว่า ประธานาธิบดีซัลวา คิอีร์ ผู้นำซูดานใต้ “ไม่จริงจัง” กับการยึดมั่นในข้อตกลงสันติภาพที่ทำไว้กับฝ่ายกบฏ และกล่าวหาทหารของฝ่ายรัฐบาลว่าเป็นฝ่ายที่เปิดฉากโจมตีก่อนต่อที่มั่นของฝ่ายกบฏในกรุงจูบา ที่เป็นเมืองหลวงของประเทศ ซึ่งนั่นบีบให้ฝ่ายกบฏต้องหันหลังให้กับกระบวนการสันติภาพและหันมาจับอาวุธ ทำสงครามกลางเมืองกับฝ่ายรัฐบาลอีกครั้ง ถือเป็นข่าวร้ายที่สั่นคลอนเสถียรภาพของซูดานใต้ ในขณะที่มีการเฉลิมฉลองการเป็นเอกราชครบรอบ 5 ขวบปีของประเทศนี้

อย่างไรก็ดี ไมเคิล มากูเออิ ลิวท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงข้อมูลข่าวสารของรัฐบาลซูดานใต้ออกมาแถลงผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ โดยยืนยันหนักแน่นว่าสถานการณ์วุ่นวายในประเทศตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา ได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ และทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลที่นำโดยประธานาธิบดีคิอีร์แล้ว

เหตุยิงปะทะกันอย่างดุเดือดในเมืองหลวงของซูดานใต้ที่นำไปสู่สงครามกลางเมืองรอบใหม่ครั้งนี้ถูกระบุว่า มีจุดเริ่มต้นมาจากการปะทะฝีปากกันระหว่าง “บอดี้การ์ด” ของคิอีร์กับมาชาร์ ก่อนจะมีการชักอาวุธปืนยิงเข้าใส่กัน และลุกลามบานปลายไปสู่การปะทะกันเต็มรูปแบบระหว่างกองกำลังของทั้งสองฝ่าย

ทั้งประธานาธิบดีซัลวา คิอีร์ และรองประธานาธิบดีรีค มาชาร์ ออกมายอมรับว่าโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นล่าสุดเป็น “โชคร้าย” ขณะที่รัฐบาลของหลายประเทศออกโรงเตือนพลเมืองของตนในซูดานใต้ ให้เร่งเดินทางออกจากประเทศนี้โดยเร็ว หรือไม่ก็ขอให้อยู่แต่ในโรงแรมหรือที่พัก

ทั้งนี้ ซูดานใต้ซึ่งเพิ่งเป็นเอกราชหลังการแยกตัวออกจากซูดานเมื่อกรกฎาคม ปี 2011 ต้องเผชิญกับภาวะสงครามกลางเมืองตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2013 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วหลายหมื่นราย ขณะที่ชาวซูดานใต้กว่า 3 ล้านคนต้องกลายสภาพเป็นผู้อพยพ และอีกเกือบ 5 ล้านคนต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือด้านอาหารจากหน่วยงานบรรเทาทุกข์นานาชาติ
ภาพจากเอเอฟพี
ภาพจากเอเอฟพี
ภาพจากเอเอฟพี
ภาพจากรอยเตอร์
ภาพจากรอยเตอร์
ภาพจากรอยเตอร์
ภาพจากรอยเตอร์
ภาพจากรอยเตอร์

กำลังโหลดความคิดเห็น