เอเจนซีส์ / MGR online - องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ออกโรงเตือนในวันอังคาร (12 ก.ค.) โดยระบุราว 3 ใน 4 ของประชากรซูดานใต้ในเวลานี้ตกอยู่ในสภาวะที่ต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน หลังประเทศของตนถลำกลับเข้าสู่วังวนแห่งความขัดแย้งภายในและสงครามกลางเมืองรอบใหม่
เอตาแร็ง กูแซ็ง ผู้อำนวยการโครงการอาหารโลกแห่งสหประชาชาติ (UN’s World Food Program) ออกมาระบุว่า สงครามกลางเมืองที่ปะทุขึ้นใหม่ถือเป็นข่าวร้ายสำหรับประชากรซูดานใต้ที่อดอยากหิวโหยและมีชีวิตที่ทุกข์ยากอยู่เป็นทุนเดิมให้ต้องเผชิญกับชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งขึ้น
ซูดานใต้ ประเทศเอกราชเกิดใหม่แห่งล่าสุดของโลกถลำกลับเข้าสู่ภาวะสงครามกลางเมืองอีกครั้ง หลังทหารฝ่ายรัฐบาลและกองกำลังฝ่ายกบฏเปิดฉากการสู้รบอย่างดุเดือดในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นอย่างน้อย 271 ราย
“ราว 3 ใน 4 ของประชากรซูดานใต้ในเวลานี้ตกอยู่ในสภาวะที่ต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน” กูแซ็งกล่าว พร้อมเผยว่า บรรดาเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมต่างประสบความยากลำบากในการปฏิบัติงานตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา และต้องใช้เวลาส่วนใหญ่หลบระเบิดอยู่แต่ภายใน “บังเกอร์ใต้ดิน” ภายในกรุงจูบา
ก่อนหน้านี้ องค์การสหประชาชาติระบุว่าความขัดแย้งรอบใหม่ที่ปะทุขึ้นในซูดานใต้ ส่งผลให้มีประชากรไม่ต่ำกว่า 36,000 รายต้องอพยพหนีตายออกจากกรุงจูบาที่เป็นเมืองหลวง
ด้านรายงานข่าวซึ่งอ้าง พันเอก วิลเลียม กัตจิอัธ โฆษกกองกำลังฝ่ายกบฏของรองประธานาธิบดี รีค มาชาร์ ออกมาเปิดเผยต่อ “บีบีซี” สื่อดังของอังกฤษ โดยระบุว่า ประธานาธิบดี ซัลวา คิอีร์ ผู้นำซูดานใต้ “ไม่จริงจัง” กับการยึดมั่นในข้อตกลงสันติภาพที่ทำไว้กับฝ่ายกบฏ และกล่าวหาทหารของฝ่ายรัฐบาลว่าเป็นฝ่ายที่เปิดฉากโจมตีก่อนต่อที่มั่นของฝ่ายกบฏ ในกรุงจูบาที่เป็นเมืองหลวงของประเทศในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ซึ่งนั่นบีบให้ฝ่ายกบฏต้องหันหลังให้กับกระบวนการสันติภาพและหันมาจับอาวุธทำสงครามกลางเมืองกับฝ่ายรัฐบาลอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ไมเคิล มากูเออิ ลิวธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงข้อมูลข่าวสารของรัฐบาลซูดานใต้ออกมาแถลงผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ โดยยืนยันหนักแน่นว่าสถานการณ์วุ่นวายในประเทศตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมาได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ และทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลที่นำโดยประธานาธิบดีคิอีร์แล้ว
ด้านสถานีวิทยุท้องถิ่นอย่าง “Radio Tamazuj” รายงานในวันอาทิตย์ (10 ก.ค.) ว่า มีทหารของทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตรวมกันอย่างน้อย 271 นาย หลังเกิดเหตุปะทะกันในกรุงจูบาเมืองหลวงของซูดานใต้ตั้งแต่วันศุกร์ (8 ก.ค.) ต่อเนื่องจนถึงวันเสาร์ (9 ก.ค.) ถือเป็นข่าวร้ายที่สั่นคลอนเสถียรภาพของซูดานใต้ ในขณะที่มีการเฉลิมฉลองการเป็นเอกราชครบรอบ 5 ขวบปีของประเทศนี้
ก่อนหน้านี้เพียง 1 วันมีรายงานข่าวซึ่งอ้างโรมัน เอ็นยาร์จี โฆษกประจำตัวของรีค มาชาร์ ผู้นำฝ่ายกบฏ ซึ่งในเวลานี้ได้กลับเข้าดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีอีกครั้ง ในรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติระบุว่า การปะทะกันระหว่างทหารฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายกบฏในครั้งนี้ส่งผลให้มีทหารของทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตรวมแล้วอย่างน้อย 150 นายเมื่อนับถึงวันเสาร์ (9) และมีแนวโน้มที่ยอดผู้เสียชีวิตจากความขัดแย้งระลอกล่าสุดนี้จะเพิ่มสูงขึ้น สอดคล้องกับการเปิดเผยของโฆษกประจำตัวของประธานาธิบดี ซัลวา คิอีร์ ผู้นำซูดานใต้
เหตุยิงปะทะกันอย่างดุเดือดในเมืองหลวงของซูดานใต้ครั้งนี้ถูกระบุว่ามีจุดเริ่มต้นมาจากการปะทะฝีปากกันระหว่าง “บอดี้การ์ด” ของคิอีร์กับมาชาร์ ก่อนจะมีการชักอาวุธปืนยิงเข้าใส่กัน และลุกลามบานปลายไปสู่การปะทะกันเต็มรูปแบบระหว่างกองกำลังของทั้งสองฝ่าย
ทั้งประธานาธิบดี ซัลวา คิอีร์ และรองประธานาธิบดี รีค มาชาร์ ออกมายอมรับว่า โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นล่าสุดเป็น “โชคร้าย” ขณะที่รัฐบาลของหลายประเทศออกโรงเตือนพลเมืองของตนในซูดานใต้ให้เร่งเดินทางออกจากประเทศนี้โดยเร็ว หรือไม่ก็ขอให้อยู่แต่ในโรงแรมหรือที่พัก
ทั้งนี้ ซูดานใต้ซึ่งเพิ่งเป็นเอกราชหลังการแยกตัวออกจากซูดานเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2011 ต้องเผชิญกับภาวะสงครามกลางเมืองตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2013 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วหลายหมื่นราย ขณะที่ชาวซูดานใต้กว่า 3 ล้านคนต้องกลายสภาพเป็นผู้อพยพ และอีกเกือบ 5 ล้านคนต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือด้านอาหารจากหน่วยงานบรรเทาทุกข์นานาชาติ