ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า สงครามกลางเมืองและความขัดแย้งที่นำไปสู่การฆ่าฟันนองเลือดระลอกใหม่จะเกิดขึ้นในซูดานใต้ หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐแห่งซูดานใต้อีก เพราะสงครามกลางเมืองระลอกที่แล้ว เพิ่งปิดฉากไปเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2015 หลังคู่ขัดแย้งยอมหันหน้าเข้าพูดคุยกันและตกลงจะจับมือกันตั้ง “รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ” ในประเทศเอกราชน้องใหม่ของโลกแห่งนี้ที่เพิ่งได้ลิ้มรสอิสรภาพ หลุดพ้นจากการปกครองของซูดาน มาได้เพียง 5 ขวบปี ผ่านกระบวนการลงประชามติเมื่อ 9 กรกฎาคมปี 2011 ที่ผลโหวตของชาวซูดานใต้สูงถึง 98.83 เปอร์เซ็นต์ หนุนการแยกตัวเป็นเอกราช
สงครามกลางเมืองระลอกที่แล้วในซูดานใต้ปะทุขึ้น เมื่อวันที่ 15 ธันวาคมปี 2013หรือหลังจากที่ซูดานใต้เป็นเอกราชได้เพียง 2 ขวบปี และความขัดแย้งนี้เพิ่งสิ้นสุดลงเมื่อ 26 สิงหาคมในปีที่แล้ว โดยต้องแลกกับยอดผู้เสียชีวิตภายในประเทศ ที่คาดว่าอาจมีจำนวนสูงเกินกว่า 300,000 ราย ยังไม่นับรวมพลเรือนอีกมากกว่า 1,860,000 รายที่ต้องอพยพหนีตาย ออกจากถิ่นฐานบ้านเรือนของตน
องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เป็นหน่วยงานแรกที่ออกโรงเตือนในวันอังคาร (12 ก.ค.) ถึงหายนะที่จะเกิดขึ้นตามมา หลังสงครามกลางเมืองรอบใหม่ปะทุขึ้นในประเทศนี้ โดยระบุราว 3 ใน 4 ของประชากรซูดานใต้ในเวลานี้ตกอยู่ในสภาวะที่ต้องการความช่วยเหลือด้าน มนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน หลังประเทศของตนถลำกลับเข้าสู่วังวนแห่งความขัดแย้งภายในและสงครามกลางเมืองรอบใหม่
เอตาแร็ง กูแซ็ง ผู้อำนวยการ “โครงการอาหารโลก” แห่งสหประชาชาติ (UN’s World Food Program) ออกมาระบุว่า สงครามกลางเมืองที่ปะทุขึ้นใหม่ ถือเป็นข่าวร้ายสำหรับประชากรซูดานใต้ที่อดอยากหิวโหยและมีชีวิตที่ทุกข์ยากอยู่เป็นทุนเดิมให้ต้องเผชิญกับชะตากรรมที่ เลวร้ายยิ่งขึ้น
ซูดานใต้ ประเทศเอกราชเกิดใหม่แห่งล่าสุดของโลก ถลำกลับเข้าสู่ภาวะสงครามกลางเมืองอีกครั้ง หลังทหารฝ่ายรัฐบาลและกองกำลังฝ่ายกบฏเปิดฉากการสู้รบอย่างดุเดือดในช่วงสุด สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นอย่างน้อย 300 ราย ท่ามกลางรายงานข่าวที่ยังไม่มีการยืนยันว่า จำนวนผู้เสียชีวิตที่แท้จริงอาจมีเกินกว่า 1,000 ราย
“ราว 3 ใน 4 ของประชากรซูดานใต้ในเวลานี้ ตกอยู่ในสภาวะที่ต้องการความช่วยเหลือด้าน มนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน” กูแซ็งกล่าว พร้อมเผยด้วยว่า บรรดาเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรม ต่างประสบความยากลำบากในการปฏิบัติงานตลอด ระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา และต้องใช้เวลาส่วนใหญ่หลบระเบิดอยู่แต่ภายใน “บังเกอร์ใต้ดิน” ภายในกรุงจูบา
ก่อนหน้านี้ องค์การสหประชาชาติระบุว่าความขัดแย้งรอบใหม่ ที่ปะทุขึ้นในซูดานใต้ ส่งผลให้มีประชากรไม่ต่ำกว่า 36,000 ราย ต้องอพยพหนีตายออกจากกรุงจูบาที่เป็นเมืองหลวง
ด้านรายงานข่าวซึ่งอ้าง พันเอก วิลเลียม กัตจิอัธ โฆษกกองกำลังฝ่ายกบฏของรองประธานาธิบดี รีค มาชาร์ ออกมาเปิดเผยต่อ “บีบีซี” สื่อดังของอังกฤษ โดยระบุว่า ประธานาธิบดี ซัลวา คิอีร์ ผู้นำซูดานใต้ “ไม่จริงจัง” และ “ไม่จริงใจ”กับการยึดมั่นในข้อตกลงสันติภาพที่ทำไว้กับฝ่ายกบฏ และกล่าวหาทหารของฝ่ายรัฐบาลว่าเป็นฝ่ายที่เปิดฉากโจมตีก่อนต่อที่มั่นของฝ่ายกบฏ ในกรุงจูบาที่เป็นเมืองหลวงของประเทศในช่วงสุดสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ซึ่งนั่นบีบให้ฝ่ายกบฏต้องหันหลังให้กับกระบวนการสันติภาพและหันมาจับอาวุธ ทำสงครามกลางเมืองกับฝ่ายรัฐบาลอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ไมเคิล มากูเออิ ลิวธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงข้อมูลข่าวสารของรัฐบาลซูดานใต้ออกมาแถลงผ่านสถานี โทรทัศน์แห่งชาติ โดยยืนยันหนักแน่นว่าสถานการณ์วุ่นวายในประเทศตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา ได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ และทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลที่นำโดยประธานาธิบดีคิอีร์แล้ว
ด้านสถานีวิทยุท้องถิ่นอย่าง “Radio Tamazuj” รายงานในวันอาทิตย์ (10 ก.ค.) ว่า มีทหารของทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตรวมกันอย่างน้อย 271 นาย หลังเกิดเหตุปะทะกันในกรุงจูบาเมืองหลวงของซูดานใต้ตั้งแต่วันศุกร์ (8 ก.ค.) ต่อเนื่องจนถึงวันเสาร์ (9 ก.ค.) ถือเป็นข่าวร้ายที่สั่นคลอนเสถียรภาพของซูดานใต้ ในขณะที่เพิ่งมีการเฉลิมฉลองการเป็นเอกราชครบรอบ 5 ขวบปีของประเทศนี้
ก่อนหน้านี้เพียง 1 วันมีรายงานข่าวซึ่งอ้างโรมัน เอ็นยาร์จี โฆษกประจำตัวของนายรีค มาชาร์ ผู้นำฝ่ายกบฏ ซึ่งในเวลานี้ ได้กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีอีกครั้ง ในรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติระบุว่า การปะทะกันระหว่างทหารฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายกบฏในครั้งนี้ ส่งผลให้มีทหารของทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตรวมแล้วเป็นจำนวนมาก และมีแนวโน้มที่ยอดผู้เสียชีวิตจากความขัดแย้งระลอกล่าสุดนี้จะเพิ่มสูงขึ้น สอดคล้องกับการเปิดเผยของโฆษกประจำตัว ของประธานาธิบดี ซัลวา คิอีร์ ผู้นำซูดานใต้
เหตุยิงปะทะกันอย่างดุเดือดในเมืองหลวงของซูดานใต้ที่นำไปสู่การก่อตัวของสงครามกลางเมืองรอบใหม่ครั้งนี้ถูกระบุว่า มีจุดเริ่มต้นมาจากการปะทะฝีปากกันระหว่าง “บอดี้การ์ด” ของคิอีร์กับมาชาร์ ก่อนจะมีการชักอาวุธปืนยิงเข้าใส่กัน และลุกลามบานปลายไปสู่การปะทะกันเต็มรูปแบบระหว่างกองกำลังของทั้งสองฝ่ายในเวลาต่อมา
ทั้งประธานาธิบดี ซัลวา คิอีร์ และรองประธานาธิบดี รีค มาชาร์ออกมายอมรับว่า โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นล่าสุดเป็น “โชคร้าย” ขณะที่รัฐบาลของหลายประเทศออกโรงเตือนพลเมืองของตนในซูดานใต้ให้เร่งเดินทางออกจากประเทศนี้โดยเร็วที่สุด หรือไม่ก็ขอให้อยู่แต่ในโรงแรมหรือที่พักเพื่อความปลอดภัย
*** สหรัฐฯส่งนาวิกโยธินป้องชีวิตพลเมืองอเมริกัน เยอรมัน-อิตาลีร่วมส่งทัพฟ้าอพยพพลเมืองกลับ
หลังการปะทุของสงครามกลางเมืองรอบใหม่ในซูดานใต้ กองกำลังสหรัฐฯประจำแอฟริกา หรือ “ Africom” ประกาศจัดส่งทหารนาวิกโยธินเพิ่มอีกเกือบครึ่งร้อยเข้าอารักขาเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯ และปกป้องตัวสถานทูตในกรุงจูบา ในขณะเดียวกัน รัฐบาลเยอรมนีและอิตาลีออกแถลงการณ์ ส่งเครื่องบินลำเลียงของกองทัพอากาศตนเข้าอพยพพลเมืองออกนอกซูดานใต้
ล่าสุด เจนนิเฟอร์ เดิร์คซ์ โฆษกของกองกำลัง Africom ออกคำแถลงยืนยันว่า ได้ตอบรับคำขอของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ในการส่งกองกำลังนาวิกโยธินสหรัฐฯเพิ่มอีก 40 นายไปยังกรุงจูบา เพื่ออารักขาเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯ และปกป้องที่ตั้งสถานทูตอเมริกา ขณะที่ทางสถานทูตสหรัฐฯประจำกรุงจูบาได้ออกโรงยืนยันว่า ได้มีการจัดเตรียมเที่ยวบินฉุกเฉินเพื่ออพยพเจ้าหน้าที่สถานทูตและพลเมืองอเมริกันออกนอกประเทศแล้วหากสถานการณ์ในซูดานใต้เลวร้ายลง
จนถึงขณะนี้มีรายงานว่า ผู้นำขั้วขัดแย้งทั้งสองฝ่ายในซูดานใต้กำลังพยายามหาทางหย่าศึกครั้งใหม่และหวนคืนสู่แผนสันติภาพเดิม รวมถึงการเดินหน้าตั้งรัฐบาลแห่งชาติร่วมกัน เพราะต่างฝ่ายต่างตระหนักดีว่า การกระโจนเข้าสู่สงครามกลางเมืองระลอกใหม่อาจ “ได้ไม่คุ้มเสีย” เพราะต่างก็เพิ่งผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายและความบอบช้ำแสนสาหัส มาจากสงครามกลางเมืองรอบที่แล้ว โดยมีความเป็นไปได้สูงลิ่ว ที่อาจได้เห็นการฟื้นฟูแนวทางสันติภาพในประเทศเอกราชเกิดใหม่แห่งนี้อีกคราในไม่ช้า