รอยเตอร์ / เอเจนซีส์ / MGR online - สาธารณรัฐประชาชนจีน ประกาศส่งนักการทูตอาวุโส “ฉง เจี้ยนหวา” เยือนแอฟริกา หวังหาลู่ทางยุติสงครามกลางเมืองรอบใหม่ในซูดานใต้
รายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ในวันพฤหัสบดี (21 ก.ค.) ซึ่งอ้างคำแถลงของกระทรวงการต่างประเทศของจีนในคืนวันพุธ (20) ระบุว่า รัฐบาลปักกิ่งตัดสินใจส่งนายฉง เจี้ยนหวา ทูตพิเศษด้านแอฟริกาของจีน ไปเดินสายเยือนเอธิโอเปีย ยูกันดา และเคนยา เพื่อประสานความร่วมมือกับรัฐบาลของประเทศเหล่านี้ ในการหาทางยุติความขัดแย้งรอบใหม่ที่ปะทุขึ้นในซูดานใต้ ดินแดนที่ถือว่าเป็นหนึ่งใน “แหล่งพลังงาน” ที่มีความสำคัญในการหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจที่โตวันโตคืนของจีน
รายงานข่าวระบุว่า ฉงจะพบหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องรวมถึงตัวแทนจากคู่ขัดแย้งในซูดานใต้ เพื่อผลักดันกระบวนการไกล่เกลี่ยที่มีชาติเพื่อนบ้านในทวีปแอฟริกาทำหน้าที่เป็น “คนกลาง” และหาทางโน้มน้าวให้คู่ขัดแย้งในซูดานใต้ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงสันติภาพ
ความเคลื่อนไหวล่าสุดของรัฐบาลปักกิ่งซึ่งมีผลประโยชน์ด้านน้ำมันจำนวนมหาศาลในซูดานใต้เกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่กองทัพยูกันดาเข้าอพยพพลเรือนจำนวน 38,000 คนที่ติดอยู่ท่ามกลางสมรภูมิสงครามกลางเมืองรอบใหม่ที่ปะทุขึ้นตั้งแต่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมาในกรุงจูบา เมืองหลวงของซูดานใต้
แพดดี อันกุนดา โฆษกกองทัพยูกันดา แถลงในวันพุธ (20 ก.ค.) โดยระบุว่า กองกำลังพิทักษ์ประชาชนยูกันดา (ยูพีดีเอฟ) ได้เข้าปฏิบัติภารกิจในการอพยพพลเรือนออกจากซูดานใต้จำนวนถึง 38,000 คน แม้ส่วนใหญ่ในจำนวนนี้จะเป็นชาวยูกันดา แต่ก็มีพลเมืองของเคนยา รวันดา และอีกหลายประเทศรวมอยู่ด้วย โดยคนกลุ่มนี้ทั้งหมดติดค้างอยู่ในพื้นที่สู้รบ และต่างต้องการเดินทางออกจากซูดานใต้เพื่อความปลอดภัย
โฆษกกองทัพยูกันดาระบุว่า การอพยพพลเรือนดังกล่าวออกจากซูดานใต้นั้น ทางกองกำลังพิทักษ์ประชาชนยูกันดา (ยูพีดีเอฟ) ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค.แล้วโดยใช้ขบวนรถที่มีการคุ้มกันแน่นหนากว่า 30 คันในการอพยพนำผู้คนไปยังชายแดนยูกันดาที่อยู่ห่างจากกรุงจูบา เมืองหลวงของซูดานใต้เป็นระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร
ทางด้านสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 15-19 ก.ค.ที่ผ่านมามีประชาชนชาวซูดานใต้จำนวนกว่า 10,300 คนเดินทางไปยังชายแดนด้านที่ติดต่อกับยูกันดาเพื่อขอลี้ภัย
การปะทุรอบใหม่ของการสู้รบในซูดานใต้ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วมากกว่า 300 ราย กลายเป็นประเด็นร้อน ที่ปกคลุมบรรยากาศของการประชุมสุดยอดผู้นำองค์การสหภาพแอฟริกัน หรือการประชุม “เอยู ซัมมิต” ที่เปิดฉากขึ้นในวันอาทิตย์ (17 ก.ค.) ที่กรุงคิกาลี เมืองหลวงของรวันดา
การปะทุรอบใหม่ของการสู้รบในซูดานใต้ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วมากกว่า 300 ราย และบีบให้ประชาชนกว่า 40,000 ราย ต้องอพยพหนีตายออกจากบ้านเรือนของตน ส่งผลให้เกิดคำถามของการคงอยู่ของข้อตกลงสันติภาพที่มีการลงนามโดยคู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่ายที่นำโดยประธานาธิบดีซัลวา คิอีร์ และรองประธานาธิบดีรีก มาชาร์ เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว
รายงานข่าวระบุว่า เอ็นโกซาซานา ดลามินี-ซูมา ข้าหลวงใหญ่ขององค์การสหภาพแอฟริกัน (เอยู) ออกโรงเรียกร้องให้คู่ขัดแย้งในซูดานใต้เร่งหาทางยุติการสู้รบที่ปะทุขึ้น ใหม่โดยเร็ว และประเด็นความขัดแย้งในซูดานใต้นี้ กลายเป็นหัวข้อหลักที่ถูกหยิบยกขึ้นมา หารือในการประชุมซัมมิตผู้นำ 54 ชาติของเอยูที่เมืองหลวงของรวันดา
ก่อนหน้านี้ องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ออกโรงเตือน โดยระบุว่าราว 3 ใน 4 ของประชากรซูดานใต้ในเวลานี้ตกอยู่ในสภาวะที่ต้องการความช่วยเหลือด้าน มนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน หลังประเทศของตนถลำกลับเข้าสู่วังวนแห่งความขัดแย้งภายในและสงครามกลางเมืองรอบใหม่
เอตาแร็ง กูแซ็ง ผู้อำนวยการโครงการอาหารโลกแห่งสหประชาชาติ (UN’s World Food Program) ออกมาระบุว่า สงครามกลางเมืองที่ปะทุขึ้นใหม่ถือเป็นข่าวร้ายสำหรับประชากรซูดานใต้ที่อดอยากหิวโหยและมีชีวิตที่ทุกข์ยากอยู่เป็นทุนเดิมให้ต้องเผชิญกับชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งขึ้น
ซูดานใต้ ประเทศเอกราชเกิดใหม่แห่งล่าสุดของโลก ถลำกลับเข้าสู่ภาวะสงครามกลางเมืองอีกครั้งหลังทหารฝ่ายรัฐบาลและกองกำลังฝ่ายกบฏเปิดฉากการสู้รบอย่างดุเดือดในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นอย่างน้อย 300 ราย
“ราว 3 ใน 4 ของประชากรซูดานใต้ในเวลานี้ตกอยู่ในสภาวะที่ต้องการความช่วยเหลือด้าน มนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน” กูแซ็งกล่าว พร้อมเผยว่าบรรดาเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมต่างประสบความยากลำบากในการ ปฏิบัติงานตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา และต้องใช้เวลาส่วนใหญ่หลบระเบิดอยู่แต่ภายใน “บังเกอร์ใต้ดิน” ภายในกรุงจูบา
ก่อนหน้านี้ องค์การสหประชาชาติระบุว่า ความขัดแย้งรอบใหม่ที่ปะทุขึ้นในซูดานใต้ ส่งผลให้มีประชากรไม่ต่ำกว่า 40,000 รายต้องอพยพหนีตายออกจากกรุงจูบาที่เป็นเมืองหลวง
ด้านรายงานข่าวซึ่งอ้าง พ.อ.วิลเลียม กัตจิอัท โฆษกกองกำลังฝ่ายกบฏของรองประธานาธิบดีรีก มาชาร์ ออกมาเปิดเผยต่อ “บีบีซี” สื่อดังของอังกฤษ โดยระบุว่าประธานาธิบดีซัลวา คิอีร์ ผู้นำซูดานใต้ “ไม่จริงจัง” ต่อการยึดมั่นในข้อตกลงสันติภาพที่ทำไว้กับฝ่ายกบฏ และกล่าวหาทหารของฝ่ายรัฐบาลว่าเป็นฝ่ายที่เปิดฉากโจมตีก่อนต่อที่มั่นของฝ่ายกบฏในกรุงจูบาที่เป็นเมืองหลวงของประเทศ ซึ่งนั่นบีบให้ฝ่ายกบฏต้องหันหลังให้กับกระบวนการสันติภาพและหันมาจับอาวุธ ทำสงครามกลางเมืองกับฝ่ายรัฐบาลอีกครั้ง ถือเป็นข่าวร้ายที่สั่นคลอนเสถียรภาพของซูดานใต้ ในขณะที่มีการเฉลิมฉลองการเป็นเอกราชครบรอบ 5 ขวบปีของประเทศนี้
อย่างไรก็ดี ไมเคิล มากูเออิ ลิวท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงข้อมูลข่าวสารของรัฐบาลซูดานใต้ออกมาแถลงผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ โดยยืนยันหนักแน่นว่าสถานการณ์วุ่นวายในประเทศในช่วงที่ผ่านมา ได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติและทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลที่นำโดยประธานาธิบดีคิอีร์แล้ว
เหตุยิงปะทะกันอย่างดุเดือดในเมืองหลวงของซูดานใต้ที่นำไปสู่สงครามกลาง เมืองรอบใหม่ครั้งนี้ถูกระบุว่า มีจุดเริ่มต้นมาจากการปะทะฝีปากกันระหว่าง “บอดี้การ์ด” ของคิอีร์กับมาชาร์ ก่อนจะมีการชักอาวุธปืนยิงเข้าใส่กัน และลุกลามบานปลายไปสู่การปะทะกันเต็มรูปแบบระหว่างกองกำลังของทั้งสองฝ่าย
ทั้งประธานาธิบดีซัลวา คิอีร์ และรองประธานาธิบดีรีก มาชาร์ ออกมายอมรับว่าโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นล่าสุดเป็น “โชคร้าย” ขณะที่รัฐบาลของหลายประเทศออกโรงเตือนพลเมืองของตนในซูดานใต้ให้เร่งเดินทางออกจากประเทศนี้โดยเร็ว หรือไม่ก็ขอให้อยู่แต่ในโรงแรมหรือที่พัก
ทั้งนี้ ซูดานใต้ซึ่งเพิ่งเป็นเอกราชหลังการแยกตัวออกจากซูดานเมื่อกรกฎาคม ปี 2011 ต้องเผชิญกับภาวะสงครามกลางเมืองตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2013 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วหลายหมื่นราย ขณะที่ชาวซูดานใต้กว่า 3 ล้านคนต้องกลายสภาพเป็นผู้อพยพ และอีกเกือบ 5 ล้านคนต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือด้านอาหารจากหน่วยงานบรรเทาทุกข์นานาชาติ