กลายเป็นข่าวช็อกโลกในทันที ที่สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะแห่งญี่ปุ่น มีพระราชดำรัสเมื่อวันจันทร์ ที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา แสดงความกังวลถึงพระชนมพรรษาที่สูงขึ้นและพระพลานามัยที่เสื่อมถอยด้อยลง จนอาจเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวาง ทำให้พระองค์ไม่ทรงสามารถ ปฏิบัติพระราชภารกิจของพระจักรพรรดิ ในอนาคตได้อย่างเต็มที่
พระราชดำรัสเมื่อวันจันทร์ ที่ 8 สิงหาคม ของสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะแห่งญี่ปุ่นในวัย 82 พรรษา ทำให้เกิดการตีความกันไปอย่างกว้างขวางในสังคมญี่ปุ่นและนำมาซึ่งกระแสข่าวแพร่สะพัด (ที่ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ) ว่า สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะทรงแสดงพระราชประสงค์ที่จะ “สละราชสมบัติ” ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองสมัยใหม่แดนซามูไร
เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สถานีวิทยุโทรทัศน์ NHK นำเสนอรายงานที่อ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ระบุว่า สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ มีพระราชประสงค์จะสละราชบัลลังก์ในไม่กี่ปีนับจากนี้ หลังจากที่พระองค์ก้าวขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิพระองค์ที่ 125 ของญี่ปุ่นมาตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1989 หลังการเสด็จสวรรคตของพระราชบิดา นั่นคือ สมเด็จพระจักรพรรดิโชวา ฮิโรฮิโตะ
พระราชประสงค์ที่ถูกนำไปตีความว่า อาจหมายถึงการสละราชบัลลังก์ ของสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะในครั้งนี้นำมาซึ่งประเด็นถกเถียงและ “dilemma” หรือสภาวะแห่งความยากลำบากในทางข้อกฏหมาย ทั้งนี้เพราะตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นนั้นได้ระบุเอาไว้ว่า ตำแหน่งสมเด็จพระจักรพรรดิทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งรัฐและเป็นศูนย์รวมเอกภาพของประชาชน ถึงแม้ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งนี้จะไม่มีอำนาจทางการเมือง แต่ทว่ารัฐธรรมนูญแดนปลาดิบกลับไม่มีการระบุรายละเอียดใดๆไว้ เกี่ยวกับกระบวนการในการสละราชสมบัติขององค์จักรพรรดิของประเทศ
ข้อมูลจากผลสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำโดยสำนักข่าวเกียวโด และมีการนำออกเผยแพร่เมื่อสัปดาห์ก่อนระบุว่า ในเวลานี้มีชาวญี่ปุ่นราวร้อยละ 86 สนับสนุนให้มีการแก้ไขกฎหมาย เพื่อเปิดทางสำหรับการสละราชสมบัติขององค์จักรพรรดิที่มีพระพลานามัยอ่อนแอลง แม้เนื้อหาในบทบัญญัติทางกฏหมายที่มีอยู่ในเวลานี้ของญี่ปุ่นจะระบุไว้ชัดเจนว่า สมเด็จพระจักรพรรดิ จะต้องทรงดำรงตำแหน่งนี้ต่อไปสถานเดียว จนกว่าจะ “เสด็จสวรรคต”
ตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้ สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ ทรงลดพระราชกรณียกิจด้านต่างๆลงอย่างสำคัญ และทรงมอบหมายให้เจ้าชายนารูฮิโตะในฐานะมกุฎราชกุมาร ปฏิบัติพระราชภารกิจจำนวนไม่น้อยแทน
แต่ถึงกระนั้น บรรดากลุ่มเคลื่อนไหวของชาวญี่ปุ่นหัวอนุรักษนิยม ที่เป็นฐานเสียงสำคัญของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ต่างยังคงจุดยืนต่อต้านแนวคิดในการสละราชสมบัติอย่างแข็งขัน เพราะความกังวลว่า ประเด็นนี้อาจจะนำไปสู่การอนุญาต ให้ทายาทที่เป็นผู้หญิงสามารถสืบราชบัลลังก์ญี่ปุ่นได้ในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกขั้วอำนาจหัวเก่าในแดนซามูไร “มิอาจยอมรับได้”
ในปัจจุบันเจ้าชายนารูฮิโตะทรงมีพระธิดาเพียงพระองค์เดียว ทว่า ตามพระราชประเพณีที่สืบทอดมายาวนานของวังญี่ปุ่นนั้นข้อกำหนดให้ มีเพียงทายาทชายเท่านั้นที่สามารถสืบครองอำนาจในฐานะประมุขของราชวงศ์ได้ โดยทายาทลำดับ 2 ต่อจากเจ้าชายนารูฮิโตะคือ เจ้าชายอากิชิโนะ ที่เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 2 ของพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ ส่วนทายาทสืบบัลลังก์ลำดับที่ 3 เป็นของ เจ้าชายฮิซาฮิโตะ พระโอรสของเจ้าชายอากิชิโนะ ที่มีพระชันษาเพียง 9 ปีในเวลานี้
รายงานข่าวระบุว่า สมาชิกกลุ่มอนุรักษนิยมจำนวนหนึ่งยังกังวลว่า การทุ่มเทพลังงานและทรัพยากรทางการเมือง ไปกับข้อกฎหมายเกี่ยวกับกระบวนการสละราชสมบัติ อาจเป็นอุปสรรคขัดขวางความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใฝ่สันติของรัฐบาล ชินโซ อาเบะ ซึ่งกลุ่มอนุรักษนิยมมองว่า เป็นสัญลักษณ์แห่งการเหยียดหยามและดูหมิ่นเกียรติภูมิของญี่ปุ่น ที่มีสถานะเป็นผู้ปราชัยในมหาสงครามโลกครั้งที่ 2
ด้าน คิมิสึกะ นาโอตากะ ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นไปภายในราชวงศ์ญี่ปุ่น จากมหาวิทยาลัยคันโตะ กากุอิน ออกมาให้ความเห็นว่า ทางเลือกเดียวที่มีในขณะนี้คือการเดินหน้าแก้ไขกฎมณเฑียรบาลโดย “ไม่แตะ” ประเด็นการสืบทอดบัลลังก์ของทายาทที่เป็นเพศหญิง หรือการออก “กฎหมายพิเศษ”ที่อนุญาตให้พระจักรพรรดิสามารถสละราชสมบัติได้ ซึ่งคาดว่า จะมีการดำเนินการที่ชัดเจนกว่านี้ในปี 2017 ที่จะมาถึงเป็นอย่างเร็ว
ดังนั้น คงไม่ผิดนัก หากจะกล่าวว่า ประเด็นร้อนฉ่า เรื่องความเป็นไปได้ในการที่สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ จะสละราชบัลลังก์นั้น เปรียบได้กับเป็น “หนังเรื่องยาว” ที่ต้องรอติดตามกันไปนานๆ กว่าจะได้ข้อสรุปทางกฏหมายที่แจ่มชัด หาใช่ “เรื่องสั้น” ที่สามารถถูกอ่านจนจบบริบูรณ์ได้ ภายในอนาคตอันใกล้นี้