เอเอฟพี - สำนักพระราชวังของญี่ปุ่นยืนยันในว่าสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะวัย 82 พรรษาไม่ได้ทรงมีแผนที่จะสละราชสมบัติตามที่สื่อหลายกระแสรายงาน สิ่งซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติสำหรับราชวงศ์อายุกว่า 2,600 ปีนี้
สถาบันกษัตริย์ของประเทศนี้ตกอยู่ในความระส่ำระสายหลังจากสถานีวิทยุและโทรทัศน์สาธารณะเอ็นเอชเครายงานโดยอ้างจากแหล่งข่าวพระราชวังว่า สมเด็จพระจักรพรรดิมีพระราชประสงค์ที่จะสละราชบัลลังก์ให้พระราชโอรสของพระองค์
การสละราชบัลลังก์ลักษณะนี้ซึ่งจะเป็นครั้งแรกในรอบ 200 ปีจะสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ต่อประเทศนี้ซึ่งสถาบันกษัตริย์ได้รับความเคารพนับถือและเป็นตัวแทนเสถียรภาพและความต่อเนื่อง
ผู้สังเกตการณ์ระบุว่า เอ็นเอชเค และเกียวโดนิวส์ซึ่งต่างรายงานข่าวทำนองเดียวกันนี้จะระมัดวังอย่างสูงก่อนที่จะรายงานเรื่องสำคัญเช่นนี้ และจะต้องมีแหล่งข้อมูลข่าวที่หนักแน่นอย่างแน่นอน
แต่สำนักงานพระราชวัง หน่วยงานรัฐที่ดูแลกิจการของราชวงศ์ แสดงการปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “มันไม่เป็นความจริงอย่างสิ้นเชิง” รองมหาดเล็กหลวง โยชิฮิโระ ยามาโมโตะ บอกับผู้สื่อข่าวเมื่อค่ำวันพุธ (13)
สมเด็จพระจักรพรรดิ “ทรงงดเว้นมานานจากการพูดคุยเรื่องระบบระเบียบต่างๆ ด้วยทรงคำนึงถึงตำแหน่งทางรัฐธรรมนูญของพระองค์” เขาบอกกับผู้สื่อข่าว
นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ปฏิเสธที่จะให้ความคิดเห็น เช่นเดียวกับ โยชิฮิเดะ สุกะ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความอ่อนไหวของเรื่องนี้
บทบาทของสมเด็จพระจักรพรรดิถูกจำกัดอย่างเข้มงวดให้เป็นเพียงหนึ่งใน “สัญลักษณ์ของรัฐ” ภายใต้รัฐธรรมนูญที่ถูกบังคับใช้โดยสหรัฐฯ ภายหลังญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2
เจ้าหน้าที่ศาลรายหนึ่งบอกกับเอเอฟพีว่า สำนักพระราชวังไม่ได้กำลังหารือเรื่องการสละราชสมบัติของสมเด็จพระจักรพรรดิ
อย่างไรก็ตาม โยมิอุริ ชิมบุน หนังสือพิมพ์รายวันยอดขายอันกับหนึ่งของญี่ปุ่นรายงานว่ารัฐบาลกำลังตรวจสอบความเป็นไปได้นี้กันอย่างลับๆ
ในรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นไม่มีบทบัญญัติสำหรับสละราชบังลังก์ ซึ่งชัดเจนว่าเป็นกลไกเพื่อป้องกันการเปลี่ยนตัวพระจักรพรรดิตามอำเภอใจ
ราชวงศ์นี้ซึ่งญี่ปุ่นอ้างเป็นหนึ่งในราชวงศ์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกได้รับความเคารพจากสาธารณชนส่วนใหญ่แม้ว่าจะสูญเสียความขลังและสถานะเปรียบสมมติเทพไปเกือบทั้งหมดภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะทรงพระประชวรจากปัญหาพระพลานามัยมากมายรวมถึงมะเร็งต่อมลูกหมากและปัญหาด้านพระหฤทัย เห็นได้จากการที่พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจของพระองค์ได้น้อยลงเมื่อปลายปีที่แล้ว