รอยเตอร์ - รัฐบาลมาเลเซียเตรียมบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ซึ่งจะให้อำนาจอย่างกว้างขวางแก่นายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค ขณะที่กลุ่มฝ่ายค้านก็มีแผนจัดชุมนุมใหญ่อีกครั้งปลายเดือนนี้ เพื่อบีบให้นายกฯ แสดงความรับผิดชอบต่อข้อหายักยอกเงินกองทุนของรัฐ
กฎหมายสภาความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Council Act) ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค. จะให้อำนาจแก่นายกรัฐมนตรีในการประกาศ “เขตความมั่นคง” (security area) บนพื้นที่ใดก็ได้ และสามารถส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นประชาชน ยานพาหนะ รวมถึงอาคารสถานที่ โดยไม่ต้องมีหมายค้น
กฎหมายฉบับนี้ยังอนุญาตให้พนักงานสอบสวน “ละเว้น” การตรวจสอบอย่างเป็นทางการ ในกรณีที่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ความมั่นคงสังหารบุคคลต้องสงสัยภายในพื้นที่ดังกล่าว
แนวร่วม บาริซาน เนชันแนล (บีเอ็น) ซึ่งเป็นรัฐบาลผสมของมาเลเซีย อ้างว่ากฎหมายฉบับนี้จะช่วยสกัดกั้นภัยคุกคามจากกลุ่มอิสลามิสต์สุดโต่ง ซึ่งเป็นปัญหาที่แดนเสือเหลืองกำลังเผชิญอยู่ อย่างไรก็ดี นักวิจารณ์กลับมองว่ากฎหมายซึ่งให้อำนาจกว้างขวางเกินไปเช่นนี้อาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนและหลักประชาธิปไตย และอาจกลายเป็นเครื่องมือที่รัฐบาลใช้ปิดปากพวกที่วิจารณ์เรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับกองทุน วัน มาเลเซีย ดีเวลลอปเมนต์ เบอร์ฮัด (1MDB)
“สิ่งที่ภาคพลเรือนและองค์กรอื่นๆ กังวลก็คือ กฎหมาย NSC อาจจะถูกใช้เล่นงานใครหรืออะไรก็ได้ที่รัฐบาลไม่พอใจ” วัน ไซฟุล วัน จัน ผู้บริหารสถาบันเพื่อประชาธิปไตยและกิจการเศรษฐกิจ (Institute for Democracy and Economic Affairs) ระบุ พร้อมเตือนว่าประชาชนอาจออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านกฎหมายฉบับนี้
“นายกรัฐมนตรีจะมีอำนาจอย่างกว้างขวางในการประกาศพื้นที่ฉุกเฉิน” เขากล่าวเสริม
กฎหมายฉบับนี้ผ่านการรับรองในวันสุดท้ายของการประชุมสภานิติบัญญัติเมื่อเดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว ท่ามกลางความตกตะลึงของฝ่ายค้าน
ภาพลักษณ์ของผู้นำเสือเหลืองต้องมัวหมองอย่างหนัก หลังมีกระแสข่าวว่าเงินสดราว 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐถูกดึงออกไปจากกองทุน 1MDB อย่างเป็นปริศนา ทว่าทางกองทุน รวมถึงนาจิบ ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการที่ปรึกษากองทุนในขณะนั้น ต่างยืนยืนว่าไม่มีการทุจริตใดๆ เกิดขึ้น
กฎหมายฉบับนี้ยังถูกประกาศใช้โดยปราศจากการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายให้สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งมาเลเซียทรงลงพระปรมาภิไธย โดยก่อนหน้านี้สมเด็จพระราชาธิบดีเองก็ทรงเสนอให้มีการแก้ไขเนื้อหาบางส่วน
สัปดาห์ที่แล้ว กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้มีคำสั่งฟ้องยึดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ที่พัวพันกับ “แผนฟอกเงินข้ามชาติ” อันเกี่ยวข้องโดยตรงกับกองทุน 1MDB เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยอ้างว่ามีเงินกว่า 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่ถูกทุจริตยักยอกไปจากกองทุนแห่งนี้
แม้การฟ้องร้องคดีแพ่งจะไม่ได้ระบุชื่อนาจิบโดยตรง แต่ทางการสหรัฐฯ ก็อ้างถึง “เจ้าหน้าที่ระดับสูง” ของรัฐบาลมาเลเซียคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้รับเงินกว่า 700 ล้านดอลลาร์ที่ได้มาจากการทุจริต ขณะที่แหล่งข่าวใกล้ชิดกระบวนการสอบสวนบอกกับรอยเตอร์ว่า เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวซึ่งในเอกสารคำฟ้องใช้คำเรียกว่า “Malaysian Official 1” ก็หมายถึงตัว “นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย” นั่นเอง
นาจิบย้ำมาโดยตลอดว่าตนไม่ได้กระทำความผิด และยืนยันว่ารัฐบาลจะให้ความร่วมมือกับนานาชาติอย่างเต็มที่ในการสืบสวนคดี 1MDB
บีเอ็นซึ่งกุมอำนาจปกครองมาเลเซียมานานถึง 59 ปีตั้งแต่ได้รับเอกราช เริ่มที่จะสูญเสียคะแนนนิยมในศึกเลือกตั้งปีหลังๆ โดยเฉพาะในปี 2013 ที่รัฐบาลชนะการเลือกตั้งแต่แพ้ป็อปปูลาร์โหวตเป็นครั้งแรก ทั้งนี้ เนื่องจากชาวแดนเสือเหลืองเริ่มเหนื่อยหน่ายกับพฤติกรรมทุจริตคอร์รัปชัน การละเมิดสิทธิพลเมือง และโหยหาความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
สำหรับการเลือกตั้งทั่วไปในมาเลเซียครั้งหน้ามีกำหนดจัดขึ้นในปี 2018
เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมารัฐบาลนาจิบได้ประกาศใช้กฎหมายต่อต้านการปลุกระดม (Sedition Act) และกฎหมายกดขี่อื่นๆ เพื่อปราบปรามพวกที่กล้าวิจารณ์รัฐบาล ขณะที่แกนนำฝ่ายค้านถูกสั่งจำคุก และสื่อมวลชนถูกปิดกั้นเสรีภาพในการทำงาน
แนวร่วมฝ่ายค้านมีแผนที่จะชุมนุมประท้วงขับไล่นาจิบอีกครั้งในวันที่ 30 ก.ค.นี้ ขณะที่กลุ่มสนับสนุนประชาธิปไตย “เบอร์ซิห์” (Bersih) ซึ่งเคยระดมมวลชนออกมากดดันรัฐบาลได้ถึง 200,000 คนในปีที่แล้ว ก็เตรียมที่จะชุมนุมใหญ่อีกครั้งเช่นกัน แต่ยังไม่กำหนดวันเวลาที่แน่นอน
แม้การชุมนุมในที่สาธารณะจะยังสามารถกระทำได้ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการชุมนุมอย่างสันติ (Peaceful Assembly Act) แต่กฎหมาย NSC จะเปิดทางให้รัฐบาลสามารถประกาศให้อาคาร ถนน หรือเมืองทั้งเมือง กลายเป็น “เขตความมั่นคง” ซึ่งไม่อนุญาตให้มีการรวมกลุ่มประท้วง
คอลิด อบูบาการ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย ออกมาเตือนเมื่อวันจันทร์ (25) ว่าตำรวจจะไม่ยินยอมให้มีการประท้วงขับไล่นายกฯ
ด้านกลุ่มคน “เสื้อแดง” ซึ่งสนับสนุนพรรคอัมโน ก็ประกาศจะระดมมวลชนมาให้กำลังใจรัฐบาล ซึ่งพวกเขาก็เคยทำเช่นนี้มาแล้วเมื่อเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา