เอเจนซีส์ - นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล แห่งเยอรมนี และประธานาธิบดีฟรองซัวส์ ออลลองด์ แห่งฝรั่งเศส มีความ “เห็นพ้องต้องกัน” เกี่ยวกับวิธีรับมือสถานการณ์ที่ติดตามมาจากผลประชามติ “เบร็กซิต” ในอังกฤษ
แหล่งข่าวใกล้ชิดผู้นำฝรั่งเศสระบุว่า ทั้ง ออลลองด์ และ แมร์เคิล ซึ่งกำลังจะหารือร่วมกันอีกครั้งที่กรุงเบอร์ลินในวันนี้ (27 มิ.ย.) “ต้องการความชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะไม่แน่นอน” หลังจากที่ผลประชามติในอังกฤษเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว (23) ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทวีปยุโรป
ออลลองด์เตือนว่า “หากแยกกันอยู่ เราก็เสี่ยงที่จะเกิดความแตกแยก ความไม่ลงรอย และการทะเลาะเบาะแว้งกัน”
การที่อังกฤษตัดสินใจถอนตัวเป็นประเทศแรกทำให้อียูเผชิญความปั่นป่วนชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขณะที่กระแสหวั่นวิตกของนักลงทุนส่งผลให้มูลค่าตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกดิ่งรูดถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (24) ทันทีที่ผลประชามติถูกประกาศออกมา
ผู้นำชาติยุโรปจะร่วมหารือทางการทูตกันในสัปดาห์นี้เพื่อกำหนดแผนรองรับ ขณะที่บางคนเรียกร้องให้อังกฤษเดินเรื่องถอนตัวออกไปโดยเร็ว ท่ามกลางหวั่นกลัวว่าจะเกิดปรากฏการณ์ “โดมิโน เอฟเฟกต์” กระตุ้นให้กลุ่มที่ลังเลสงสัยในสหภาพยุโรป (eurosceptics) ออกมาเคลื่อนไหวบ้างในรัฐสมาชิกอื่นๆ
ประธานาธิบดีออลลองด์ จะหารือกับ โดนัลด์ ทัสก์ ประธานคณะมนตรียุโรป ที่กรุงปารีสในช่วงเช้าวันนี้ (27) ก่อนจะออกเดินทางต่อไปยังกรุงเบอร์ลินเพื่อพบกับแมร์เคิล และนายกรัฐมนตรีมัตเตโอ เรนซี แห่งอิตาลี หลังจากนั้นจะมีการประชุมซัมมิตอียูที่กรุงบรัสเซลส์ในวันอังคาร (28) คาดว่านายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน แห่งอังกฤษ จะเผชิญแรงกดดันอย่างหนักจากผู้นำชาติอื่นๆ ให้ต้องเริ่มกระบวนการถอนตัวออกจากอียูให้เสร็จสิ้นภายใน 2 ปี
ค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงที่ซื้อขายในตลาดเอเชียช่วงเช้าวันนี้ยังคงดิ่งรูดต่อเนื่อง (27) ขณะที่รัฐมนตรีกระทรวงการคลังอังกฤษ จอร์จ ออสบอร์น เตรียมออกถ้อยแถลงก่อนเปิดตลาดที่อังกฤษเพื่อบรรเทาความวิตกของนักลงทุน
โบริส จอห์นสัน อดีตนายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนผู้เป็นแกนนำฝ่ายหนุนเบร็กซิต และคาดว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นนายกฯ คนใหม่แทนที่ คาเมรอน ยืนยันว่าสหราชอาณาจักรจะยังคง “ยกระดับ” ความร่วมมือด้านต่างๆ กับอียูต่อไป ส่วน เจเรมี คอร์บีน หัวหน้าพรรคแรงงานฝ่ายค้าน ซึ่งถูกเรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบต่อผลประชามติด้วยการ “ลาออก” ยืนยันว่าตนจะยังเสนอตัวทำหน้าที่ต่อ หากมีการเลือกตั้งผู้นำพรรคคนใหม่
ประธานาธิบดีออลลองด์กล่าววานนี้ (26) ว่า การตัดสินใจของอังกฤษนั้น “ไม่มีทางหวนกลับ” ได้อีกแล้ว “และสิ่งที่ครั้งหนึ่งไม่เคยมีใครคาดคิด กลับกลายเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้อีกต่อไป”
จอห์น เคร์รี รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ก็เตรียมที่จะเดินทางไปเยือนทั้งลอนดอนและบรัสเซลส์ และได้ให้สัมภาษณ์ที่กรุงโรมเมื่อวันอาทิตย์ (26) ว่า ตนรู้สึก “เสียดาย” ที่ชาวอังกฤษตัดสินใจเช่นนี้ แต่สหรัฐฯ จะยังคงร่วมมือกับอียูอย่างแน่นแฟ้นต่อไป
ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ยืนยันเช่นกันว่า ความสัมพันธ์พิเศษระหว่างสหรัฐฯ กับอียูจะไม่เปลี่ยนแปลง แม้อังกฤษจะแยกตัวออกไปก็ตาม
ตลอดช่วงสุดสัปดาห์มีเสียงเรียกร้องจากบรรดารัฐมนตรีต่างประเทศอียู รวมถึง ฌอง-โคลด จุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งต้องการให้อังกฤษเริ่มกระบวนการแยกตัวออกจากอียูโดยเร็วที่สุด แต่รัฐมนตรีต่างประเทศ ฟิลิป แฮมมอนด์ ของอังกฤษ กลับประกาศว่า ลอนดอนจะไม่หวั่นไหวไปกับแรงกดดัน และ “จะยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้”
ปีเตอร์ อัลต์ไมเออร์ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเยอรมนี ก็ออกมาสนับสนุนให้นักการเมืองอังกฤษ “ใช้เวลาทบทวน” ผลที่จะตามมาจากการอำลาอียู
คาเมรอนประกาศจะสละตำแหน่งในเดือน ต.ค. และเปิดทางให้นายกฯ คนใหม่เข้ามารับหน้าที่เจรจากับอียูต่อไป โดยคาดว่าจะมีการประกาศใช้มาตรา 50 ในข้อตกลงลิสบอน ซึ่งกำหนดกรอบเวลา 2 ปีสำหรับรัฐสมาชิกที่ต้องการเจรจาถอนตัวจากอียู
ผลประชามติยังสะท้อนถึงมุมมองที่แตกแยกระหว่างพลเมืองในสหราชอาณาจักรเอง เพราะในขณะที่ชาวอังกฤษโหวตสนับสนุนค่าย “LEAVE” ถึง 52% และโหวต “REMAIN” เพียง 48% แต่ชาวสกอตแลนด์นั้นโหวต REMAIN มากถึง 62%
นิโกลา สเตอร์เจียน รัฐมนตรีที่ 1 แห่งสกอตแลนด์ ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีว่า รัฐสภาสกอตแลนด์อาจพิจารณาใช้อำนาจคัดค้าน “เบร็กซิต” และจะเริ่มเจรจากับเจ้าหน้าที่บรัสเซลส์ถึงความเป็นไปได้ที่สกอตแลนด์จะขอเป็นสมาชิกอียูต่อไป
สเตอร์เจียนยืนยันด้วยว่า ประชามติแยกตัวเป็นเอกราชจากอังกฤษรอบที่ 2 มีสิทธิ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้