เอเจนซีส์/MGRออนไลน์ – บ็อบ เกรแฮม(Bob Graham) อดีตหัวหน้ากรรมาธิการตรวจสอบวุฒิสภาสหรัฐฯยืนยัน FBI สหรัฐฯเป็นอุปสรรคต่อการเปิดเผยเอกสารลับจำนวน 28 หน้าที่หายไปจากรายงานเหตุการณ์ก่อการร้าย 11 กันยายน 2001 ซึ่งสื่อทั่วโลกได้รายงานก่อนหน้านี้ว่า “มีเจ้าหน้าที่รัฐบาลซาอุฯช่วยเหลือเครือข่ายก่อการร้ายจี้เครื่องบินพุ่งชนตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์”
เดลีบีสต์ สื่อการเมืองสหรัฐฯรายงานวันนี้(17 พ.ค)ว่า ในการให้สัมภาษณ์ของอดีตสว.รัฐฟลอริดา บ็อบ เกรแฮม(Bob Graham) ซึ่งเคยทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมาธิการวุฒิสภาสหรัฐฯด้านข่าวกรองและเป็นประธานร่วมในคณะกรรมาธิการร่วมของสภาคองเกรสในการตรวจสอบความบกพร่องด้านข่าวกรองในเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 หรือ 9/11 ได้เปิดเผยว่า หน่วยงาน FBI สหรัฐฯเป็นอุปสรรคต่อการเปิดเผยเอกสารลับจำนวน 28 หน้าที่หายไปจากรายงาน 9/11
ซึ่งก่อนหน้านี้ จากการรายงานของ RT สื่อรัสเซีย มีการเปิดเผยว่า FBI อาจมีเอกสารเกี่ยวกับเหตุการณ์สหรัฐฯถูกก่อการร้ายจำนวนมากถึง 80,000 ชิ้นที่มีความเกี่ยวพัน และระบุเกี่ยวกับบทบาทของรัฐบาลซาอุดีอาระเบียและเหตุการณ์ก่อการร้ายโจมตีอเมริกาใน 9/11 ที่มีอดีตผู้นำกลุ่มอัลกออิดะห์ โอซามะ บินลาเดนเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง
โดยเกรแฮมได้กล่าวโจมตี FBI ว่า “ตลบตะแลงอย่างร้ายกาจ” ในการให้จำกัดความต่อหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯแห่งนี้ในการจัดการเอกสารลับ 28 หน้าที่ได้มาจากการคณะกรรมาธิการสอบสวนเหตุการณ์ 9/11 ตั้งแต่ปี 2003 “การปกปิดถือเป็นการกระทำที่ยังพอให้อภัยได้ ซึ่งเป็นการที่คุณได้นำสิ่งที่ผู้คนต้องการอ่านไปเก็บให้พ้นจากสายตา” อดีตสว.รัฐฟลอริดากล่าว และแถลงต่อว่า “แต่ทว่า….หากเป็นการกระทำที่พยายามเปลี่ยนเนื้อเรื่อง หรือถ้อยความซึ่งไม่ตรงกับสิ่งที่ได้เกิดขึ้น และยังพยายามแอบซ่อนเอกสารที่จะเปิดเผยความจริงจากสาธารณะ แต่สิ่งที่คนทั่วไปจะได้อ่าน หรือถูกเปิดเผยกลับเป็นเรื่องที่ถูกแก้ไข หรือแต่งขึ้นใหม่ ถือเป็นสิ่งเลวร้ายมาก”
สื่อการเมืองสหรัฐฯรายงานต่อว่า ในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เกรแฮมพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะทำให้รายงานการตรวจสอบชิ้นนี้ถูกเปิดเผย ซึ่งเขาเชื่อว่าสาธารณชนชาวอเมริกันมีสิทธิที่ต้องรับรู้ในเรื่องนี้ และจากความพยายามนี้ทำให้เกรแฮมนอกจากต้องชนกับ FBI แล้วเขายังต้องชนกับบรรดาหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯอื่นๆ
ซึ่งทำให้เดลีบีสต์ได้ตั้งฉายาอดีตประธานคณะกรรมาธิการวุฒิสภาสหรัฐฯด้านข่าวกรองและเป็นประธานร่วมในคณะกรรมาธิการร่วมของสภาคองเกรสผู้นี้ว่า เป็นเสมือน “อัศวินครูเสด” ในการทำงานตามลำพังเพื่อจะเปิดเผยความจริงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้โลกได้รับรู้ และความพยายามของเกรแฮมก็ได้บรรลุผลเมื่อเขามีกำหนดที่จะพบกับ เจมส์ แคลปเปอร์ (James Clapper) ผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯ DNI ในวันนี้(17 พ.ค)ซึ่งแคลปเปอร์ทำหน้าที่ดูแลเอกสารความลับ 28 หน้าที่ทางเกรแฮมต้องการให้เปิดเผย
และเป็นที่รับรู้ไปทั่วโลกก่อนหน้านี้หลังจากจอห์น เอฟ เลห์แมน( John F. Lehman)อดีตรัฐมนตรีว่าการทบวงทหารเรือในสมัยรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน และนั่งอยู่ในคณะกรรมาธิการรัฐสภาคองเกรสตรวจสอบเหตุการณ์ 9/11 ในช่วงระหว่างปี 2003-2004 ในสายพรรครีพับลิกันได้ยอมออกมาเปิดเผยกับสื่ออังกฤษ หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนว่า “มีหลักฐานชัดเจนว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐบาลซาอุฯจำนวนหนึ่งจากกระทรวงกิจการศาสนาอิสลามให้การช่วยเหลือกลุ่มผู้ก่อร้ายที่ได้ทำการจี้เครื่องบินพุ่งชนตึกเวิลด์เทรด
ซึ่งการเปิดเผยของเลห์แมนต่อเดอะการ์เดียนยังชี้ต่อว่า เขาไม่เชื่อว่าเจ้าหน้าที่พลเรือนระดับสูงของริยาร์ด หรือราชวงศ์ซาอุฯจะเกี่ยวพันในการสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ หรือการวางแผนโจมตีสหรัฐฯในเหตุการณ์ 9/11
ทั้งนี้เดอะการ์เดียนรายงานในวันที่ 12 พ.คว่า มีเพียงฟาฮัด อัล-ทูไมรี( Fahad al-Thumairy) นักการทูตซาอุฯที่ทำงานในสถานทูตซาอุดีอาระเบียประจำสหรัฐฯ ที่เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุก่อการร้าย 11 กันยา ถูกวอชิงตันสั่งขับออกนอกประเทศ ซึ่งในขณะนั้นเชื่อกันว่านักการทูตแดนเศรษฐีน้ำมันผู้นี้ให้การสนับสนุน 2 มือก่อการร้ายสัญชาติซาอุฯจี้เครื่องบินพุ่งชนตึกแฝดเวิลด์เทรดเซนเตอร์ซึ่งกบดานในเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย หนึ่งปีก่อนลงมือโจมตี
และสื่ออังกฤษรายงานเพิ่มเติมว่า แต่หลังจากที่นักการทูตผู้นี้ถูกขับออกนอกประเทศแล้ว ไม่พบว่าเขาถูกตั้งข้อกล่าวหาและโดนดำเนินคดีตามกฏหมายแต่อย่างใด
เดลิบีสต์รายงานต่อว่า ในการให้สัมภาษณ์ของเกรแฮมทางโทรศัพท์ เขาได้เปิดเผยว่าในจำนวน 28 หน้าทั้งหมดที่ถูกปิดเป็นความลับนั้นมีบางส่วนจากทั้งหมดนั้น “สามารถเปิดเผยได้ แต่กลับถูกแก้ไข” ซึ่งทำให้บ็อบ เกรแฮมได้เริ่มอ่านในส่วนที่ถูกแก้ไขและสามารถเปิดเผยได้ให้กับเดลีบีสต์ “หน้า 395 ส่วนที่ 4 การค้นพบ และเนื้อหาเกี่ยวกับความมั่นคงสหรัฐฯ “ เกรแฮมอ่าน และกล่าวต่อว่า และหน้า 395 เป็นหน้าแรกของบทนี้ และหลังจากนั้น มีเนื้อหาบางส่วน และตามมาด้วยหน้าเปล่า และหลังจากหน้าเปล่านั้น มีข้อความที่ปรากฏในหน้า 395 ได้กล่าวถึงความเป็นไปได้ถึงความเกี่ยวข้องระหว่างเหตุการณ์ 9/11 และ “foreign sources” ซึ่งอาจชี้ได้ว่า โดยอ้างจากบันทึกภายในของ FBI ซึ่งเป็นหลักฐานที่อื้อฉาว (อดีตสว.เกรแฮมย้ำคำว่า “หลักฐานที่อื้อฉาว”) ว่ามีการให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้ายเหล่านี้ และหลังจากนั้น เอกสารถูกแก้ไข
โดยบ็อบ เกรแฮมกล่าวต่อกับเดลีบีสต์ว่า “ผมพอที่จะทราบถึงความสมดุลของเนื้อหาในเซคชันนั้น แต่ผมให้ข้อมูลกับคุณในรายละเอียดไม่ได้” และยังกล่าวต่อว่า “หากเอกสารความลับ 28 หน้าถูกนำกลับมาในสภาพที่ได้รับการแก้ไขหรือดัดแปลง นั่นก็เท่ากับได้ลดคุณค่าของเอกสารลับชุดนี้ลงไป”