รอยเตอร์/MGR ออนไลน์ - เหล่าผู้นำระดับสูงสุดของจีนต่างออกมาเตือนแรงๆ ไม่ให้ประมุขคนใหม่ของไต้หวันที่กำลังจะเช้ารับตำแหน่งเร็วๆ นี้ คิดเคลื่อนไหวประกาศเอกราช โดยที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ประกาศย้ำว่า ไม่มีวันยินยอมปล่อยให้ไต้หวัน “แยกตัว” ออกจากประเทศจีนไปอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน หลังจากที่นายกรัฐมนตรี หลี่ เค่อเฉียง กล่าวในการเปิดประชุมรัฐสภาว่า คัดค้านกิจกรรมของ “นักแบ่งแยกดินแดน” ไต้หวัน
ปักกิ่งถือว่าไต้หวันเป็นมณฑลหนึ่งของจีนที่กำลังถูกพวกกบฏยึดครองเอาไว้ และต้องการนำกลับมาอยู่ใต้การปกครองของตนในที่สุดโดยหากจำเป็นก็พร้อมที่จะใช้กำลังเข้าบังคับ ทั้งนี้ กองทัพของพรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถรบชนะกองทัพของพรรคก๊กมิ่นตั๋ง และยึดครองทั่วทั้งจีนแผ่นดินใหญ่ไว้ได้ในปี 1949 ขณะที่ก๊กมิ่นตั๋งหลบหนีออกมาตั้งหลักอยู่ที่เกาะไต้หวัน
ในช่วง 20 ปีหลังมานี้ ไต้หวันมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นประชาธิปไตยแบบตะวันตกมากขึ้นเรื่อยๆ และได้จัดการเลือกตั้งครั้งหลังสุดเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยปรากฏว่า ไช่ อิงเหวิน และพรรคเดโมเครติก โปรเกรสสีฟ ปาร์ตี้ (ดีพีพี) ของเธอ ชนะชนิดขาดลอยทั้งในการชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีและสมาชิกรัฐสภา นับจากนั้นมา ปักกิ่งก็ได้แถลงเตือนซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่ให้ไต้หวันดำเนินการเคลื่อนไหวใดๆ ไปในทางประกาศแยกตัวไปตั้งเป็นประเทศเอกราช
สื่อมวลชนของทางการจีนรายงานในวันนี้ (6 มี.ค.) ว่า ระหว่างที่ประธานาธิบดีสี พบปะเยี่ยมเยียนคณะผู้แทนของเซี่ยงไฮ้ ที่เดินทางมาเข้าร่วมการประชุมประจำปีของสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ ซึ่งก็คือรัฐสภาจีน เขากล่าวว่า “เราจะใช้ความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นในการปิดล้อมควบคุมกิจกรรมของพวกนักแบ่งแยกดินแดนซึ่งเรียกร้อง ‘ไต้หวันที่เป็นเอกราช’ ไม่ว่าในรูปแบบใดก็ตามที เพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศชาติ และไม่มีวันยินยอมให้โศกนาฏกรรมของชาติในเรื่องการถูกแบ่งแยกซึ่งเคยเกิดขึ้นมาในประวัติศาสตร์ บังเกิดซ้ำขึ้นมาอีก” ทั้งนี้ สี ดูจะหมายถึงการที่ราชวงศ์ชิงของจีน ได้สูญเสียไต้หวันให้แก่ญี่ปุ่นในปี 1895 จากนั้นญี่ปุ่นก็ปกครองเกาะแห่งนี้ในฐานะอาณานิคมจวบจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง
“นี่เป็นความปรารถนาร่วมกันและเป็นเจตนารมณ์อันมั่นคงของประชาชนจีนทั้งมวล นอกจากนั้นยังเป็นความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวอันหนักแน่นจริงจังของเรา และเป็นความรับผิดชอบของเราทั้งต่อประวัติศาสตร์และต่อประชาชน” ประมุขของจีนกล่าวต่อ
ไช่นั้นกล่าวว่า เธอจะธำรงรักษาสันติภาพที่มีกับจีนเอาไว้ และสื่อมวลชนภาครัฐของจีนก็ชี้ว่าเธอให้สัญญาที่จะธำรงรักษา “สถานะเดิม” ที่ไต้หวันมีอยู่กับจีน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพรรคดีพีพีมีประวัติรากเหง้าเป็นพรรคที่ต้องการแยกไต้หวันเป็นประเทศเอกราช ดังนั้น ปักกิ่งจึงมีท่าทีระแวงระไวไม่ไว้วางใจ
สี กล่าวโดยไม่ได้เอ่ยตรงๆ ถึง ไช่ ซึ่งมีกำหนดเข้ารับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีของไต้หวันอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคมนี้ว่า ปักกิ่งมีนโยบายต่อไต้หวันที่ชัดเจนและคงเส้นคงวา และ “จะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ทางการเมืองของไต้หวัน”
“พี่น้องร่วมชาติจากทั้งสองฟากฝั่งช่องแคบไต้หวันต่างกำลังคาดหมายให้มีการพัฒนาอย่างสันติในความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบนี้ และเราก็ไม่ควรทำให้พวกเขาต้องผิดหวัง” เขาบอก
ก่อนหน้านี้ สื่อทางการจีนรายงานเมื่อวันเสาร์ (5) ว่า ขณะกล่าวแถลงกิจการรัฐบาลในวันเปิดการประชุมประจำปีของรัฐสภาจีน นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง พูดว่า จีนยังคงยึดมั่นผูกพันอยู่กับ “นโยบายสำคัญๆ” ของตนในเรื่องไต้หวัน
“เราจะ ... คัดค้านกิจกรรมของพวกนักแบ่งแยกที่ต้องการให้ไต้หวันเป็นเอกราช, มุ่งปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของจีน, ธำรงรักษาการเติบโตขยายตัวอย่างสันติของความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบ, และปกป้องสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน”
หลี่ไม่ได้เอ่ยตรงๆ ถึง ไช่ ผู้ซึ่งจะขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขไต้หวันเดือนพฤษภาคมนี้
ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ หม่า อิงจิ๋ว แห่งพรรคก๊กมิ่นตั๋ง ผู้มีนโยบายเป็นมิตรกับแผ่นดินใหญ่ ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีไต้หวันนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับไต้หวัน หรือที่ทั้งสองฝ่ายเรียกกันว่า ความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบ ดำเนินไปด้วยความสงบราบรื่น
หม่าได้ลงนามในข้อตกลงสำคัญทางเศรษฐกิจกับปักกิ่งต่อเนื่องกันหลายฉบับ รวมทั้งได้จัดการพบปะหารือครั้งประวัติการณ์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ที่สิงคโปร์ซึ่งถือเป็นดินแดนเป็นกลางของทั้งสองฝ่าย
ทว่าได้เกิดกระแสประท้วงในไต้หวันนำโดยคนรุ่นหนุ่มสาวเมื่อปี 2014 แสดงความไม่พอใจการทำข้อตกลงทางการค้าฉบับสำคัญกับปักกิ่ง และพรรคก๊กมิ่นตั๋งก็ปราชัยหนักในการเลือกตั้งเดือนมกราคมที่ผ่านมา
หลี่กล่าวว่า ปักกิ่งจะ “ยืนหยัดเด็ดเดี่ยวในการสร้างความคืบหน้าให้แก่การบูรณาการทางเศรษฐกิจข้ามช่องแคบ” และเพิ่มความเข้มแข็งให้แก่การแลกเปลี่ยนกันระหว่างประชาสามัญชน และคนรุ่นหนุ่มสาว
ระหว่างที่พบปะกับคณะผู้แทนเซี่ยงไฮ้ สีก็กล่าวในทำนองเดียวกัน โดยบอกว่าจีนกับไต้หวันควรเพิ่มการบูรณาการทางเศรษฐกิจและสังคมให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นอีก และส่งเสริมสนับสนุน “ความสำนึกของการเป็นประชาคมร่วมชะตากรรมเดียวกัน” ขึ้นมา