เอเจนซีส์ – มูดี้ส์ หนึ่งในบริษัทเครดิตเรตติ้งรายใหญ่ที่สุดของโลก ประกาศลดระดับทิศทางแนวโน้มตราสารหนี้ของจีนจาก “คงที่” เป็น “ติดลบ” โดยแจกแจงปัจจัยลบสารพัด อาทิ การพุ่งขึ้นของหนี้สาธารณะและกระแสเงินทุนไหลออก ตลอดจนถึงทุนสำรองเงินตราต่างประเทศลดฮวบ ขณะที่ความสามารถของปักกิ่งในการดำเนินมาตรการปฏิรูปให้ตลอดรอดฝั่งยังเป็นที่กังขา
คำแถลงของมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ที่ออกมาเมื่อวันพุธ (2 มี.ค.) ระบุว่า สถานะทางการคลังของจีนซวนเซลงสืบเนื่องจากระดับการกู้ยืมที่เพิ่มขึ้นทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจและระบบการเงิน ขณะที่แรงกดดันต่อรัฐวิสาหกิจทั้งหลายก็สูงขึ้น
บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือแห่งนี้ยังระบุว่า การเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มชะลอตัวต่อไปทำให้รัฐบาลต้องเดินหน้าส่งเสริมการลงทุนเพื่อเร่งกระตุ้น ผลลัพธ์คือพวกธนาคารเฉพาะด้านต่างมีหนี้สินเพิ่ม เนื่องจากธนาคารเหล่านี้คือรัฐวิสาหกิจที่อัดฉีดเงินทุนให้โครงการต่างๆ ตามคำสั่งของรัฐบาล
คำแถลงของมูดี้ส์ซึ่งเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของตนอธิบายว่า ทิศทางแนวโน้มเป็น “ติดลบ” หมายความว่า มีแนวโน้มมากขึ้นที่จะมีการเปลี่ยนแปลงในทางลดอันดับในระยะกลาง โดยที่หากตราสารหนี้จีนถูกลดอันดับลงมาจริงๆ ก็จะทำให้ปักกิ่งต้องมีต้นทุนการกู้ยืมในตลาดต่างประเทศสูงขึ้น
ทั้งนี้ ณ สิ้นปีที่ผ่านมา หนี้ของรัฐบาลจีนพุ่งขึ้นอยู่ในระดับ 40.6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จากระดับ 32.5% ในปี 2012 และมูดี้ส์คาดว่า ตัวเลขนี้จะเพิ่มเป็น 43.0% ในปีหน้า เนื่องจากการที่ผู้วางนโยบายเพิ่มมาตรการใช้จ่ายของรัฐและลดภาษีเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจ
ในปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจแดนมังกรขยายตัว 6.9% ต่ำสุดในรอบ 25 ปี และขณะนี้ มีความกังวลกันว่า การเติบโตของจีนจะซึมเซาต่อเนื่อง
กระนั้น มูดี้ส์เตือนว่า หากรัฐบาลจีนใช้นโยบายทางการคลังและการเงินเพื่อสนับสนุนเป้าหมายการเติบโตที่คาดหมายไว้ที่ 6.5% นั้น ก็อาจทำให้มาตรการปฏิรูปล่าช้าลง
“หากปราศจากมาตรการปฏิรูปที่น่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพ การขยายตัวของจีนจะชะลอลงอย่างมาก เนื่องจากภาระหนี้ก้อนใหญ่บ่อนทำลายการลงทุนทางธุรกิจ และปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมไม่เอื้ออำนวยมากขึ้น” มูดี้ส์สำทับว่า หนี้ของรัฐบาลจะพุ่งสูงกว่าที่คาดไว้ในขณะนี้
ขณะเดียวกัน ข้อมูลของทางการแดนมังกรแสดงให้เห็นว่า ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีน ซึ่งยังคงอยู่ในระดับสูงสุดในโลกนั้น ได้ลดลงอยู่ที่ 3.2 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา หรือต่ำสุดในรอบเวลากว่า 3 ปี เป็นการตอกย้ำความเป็นไปได้ที่ความกดดันจากอัตราแลกเปลี่ยน, และความเชื่อมั่นที่เสื่อมถอยต่อความสามารถของทางการในการจัดการการเติบโตทางเศรษฐกิจตลอดจนในการผลักดันมาตรการปฏิรูป อาจทำให้เงินทุนไหลออกจากแดนมังกรมากขึ้น
คำแถลงแจกแจงว่า การแทรกแซงในตลาดหุ้นและตลาดเงินในปีที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า การรับประกันเสถียรภาพทางการคลังและเศรษฐกิจคือเป้าหมายของปักกิ่ง กระนั้นก็ยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับลำดับความสำคัญของนโยบายปรากฏอยู่
อย่างไรก็ดี มูดี้ส์คงอันดับความน่าเชื่อถือของจีนไว้ที่ Aa3 ซึ่งเป็นระดับการลงทุนสูงสุดอันดับ 4 ด้วยเหตุผลว่าเศรษฐกิจจีนยังมีปราการป้องกันสำคัญๆ ซึ่งรวมถึงอัตราการออมในครัวเรือนในระดับสูง
“ในระบบการเงินแบบปิดขนาดใหญ่ การกัดกร่อนของปราการมีแนวโน้มมากที่สุดว่า จะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเท่ากับว่า มีเวลาเพียงพอสำหรับการจัดการประเด็นสำคัญต่างๆ ในการปฏิรูป” มูดี้ส์ระบุ
กระนั้น บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำแห่งนี้เตือนว่า อาจต้องลดอันดับจีน หากพบว่า มาตรการปฏิรูปที่จำเป็นต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและปกป้องงบดุลของรัฐบาล เดินหน้าไปเชื่องช้าลง