เอเจนซีส์ - โอบามาเปิดรีสอร์ตหรูในแคลิฟอร์เนียต้อนรับผู้นำ 10 ชาติอาเซียน เพื่อส่งเสริมการค้าและกระชับแนวร่วมล้อมกรอบความก้าวร้าวของจีนในทะเลจีนใต้ รวมทั้งการยืนยันบทบาทมหาอำนาจแห่งแปซิฟิก ระหว่างการประชุมสุดยอดเป็นเวลาสองวัน ซึ่งทำเนียบขาวหวังว่าจะช่วยเสริมสร้างอิทธิพลของอเมริกาในภูมิภาคเอเชีย
นอกจากนั้นยังเป็นที่คาดว่า ประธานาธิบดี บารัค โอบามา จะหารือเกี่ยวกับการควบคุมโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือและการต่อสู้กับกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ระหว่างการประชุมสุดยอดที่รีสอร์ตหรูซันนีแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ตั้งแต่วันจันทร์ (15) กับผู้นำ 10 ชาติจากสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ยกเว้นเพียงผู้นำพม่าและเวียดนามที่ติดภารกิจสำคัญภายในประเทศ จึงส่งตัวแทนเข้าหารือแทน
การเยือนของผู้นำอาเซียนในสถานที่แห่งนี้ ที่โอบามาเคยใช้ในการต้อนรับประธานาธิบดี สี จิ้นผิงของจีนมาแล้ว ถูกกำหนดขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของวอชิงตันในการคานอำนาจปักกิ่ง ทั้งยังเป็นการยืนยันบทบาทมหาอำนาจแห่งแปซิฟิก ตลอดจนถึงความกระตือรือร้นในการกระชับสัมพันธ์ทางการค้ากับพันธมิตรอาเซียน การสนับสนุนนโยบายปักหมุดเอเชียที่โอบามาผลักดัน รวมถึงการเน้นย้ำความสำคัญของอาเซียนก่อนที่โอบามาจะอำลาตำแหน่งต้นปีหน้า
เกี่ยวกับประเด็นหลัง จะมีการตอกย้ำด้วยการเยือนเวียดนามและลาวของโอบามาในช่วงปลายปีนี้
เบน โรดส์ รองที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว กล่าวว่า อาเซียนถือเป็นกลุ่มเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 7 ของโลก เป็นผู้เล่นที่มีบทบาทสำคัญในประเด็นความมั่นคงทางทะเล การต่อต้านการก่อการร้าย การต่อต้านการปล้นสะดมทางทะเล
การประชุมสุดยอดในวันแรกจะเน้นประเด็นเศรษฐกิจและการค้า ซึ่งรวมถึงการหารือเกี่ยวกับความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (ทีพีพี) ที่ครอบคลุม 4 ชาติอาเซียน ได้แก่ เวียดนาม สิงคโปร์ บรูไน และมาเลเซีย ซึ่งอีกหลายประเทศต้องการเข้าร่วมเพิ่มเติม โดยทำเนียบขาวต้องการมั่นใจว่าข้อตกลงนี้จะมีผลบังคับใช้จริง
ส่วนในวันอังคาร (16) เหล่าผู้นำจะหารือเกี่ยวกับประเด็นทางทะเล ซึ่งรวมถึงทะเลจีนใต้ที่จีนและสมาชิกอาเซียนหลายชาติมีข้อพิพาทด้านดินแดนกันอยู่
โรดส์กล่าวว่า โอบามาจะประกาศชัดเจนต่อปักกิ่งว่า ข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ต้องได้รับการแก้ไขอย่างสันติ ภายใต้บรรทัดฐานสากล ไม่ใช่ปล่อยให้ประเทศใหญ่กว่าข่มเหงรังแกประเทศที่เล็กกว่า
ความท้าทายในการประชุมผู้นำครั้งนี้อาจอยู่ที่การทำให้ชาติอาเซียนทั้งหมดเห็นพ้องในการออกแถลงการณ์ที่ชัดเจนในประเด็นนี้ โดยนักวิเคราะห์กล่าวว่า ที่ผ่านมาจีนพยายามกดดันประเทศต่างๆ เช่น กัมพูชา และลาว ไม่ให้เห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้ จนถึงขั้นอาจยอมไปหารือกับญี่ปุ่นเกี่ยวกับข้อพิพาทในทะเลจีนตะวันออก เพื่อลดแรงเสียดทานจากข้อพิพาทในทะเลจีนใต้
ถึงกระนั้น เออร์เนสต์ โบเวอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียจากศูนย์เพื่อการศึกษาทางยุทธศาสตร์และการระหว่างประเทศ มองว่า หากผู้นำอาเซียนรู้สึกว่าอเมริกากำลังลงทุนในอาเซียน จะทำให้แม้แต่สมาชิกที่อ่อนแอที่สุดโอนอ่อนผ่อนตามในการออกแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว เนื่องจากไม่มีประเทศใดต้องการให้จีนกดขี่ข่มเหงประเทศเพื่อนบ้านที่เล็กกว่า
ความท้าทายในการประชุมผู้นำครั้งนี้อาจอยู่ที่การทำให้ชาติอาเซียนทั้งหมดเห็นพ้องในการออกแถลงการณ์ที่ชัดเจนในประเด็นนี้ โดยนักวิเคราะห์กล่าวว่า ที่ผ่านมาจีนพยายามกดดันประเทศต่างๆ เช่น กัมพูชา และลาว ไม่ให้เห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้ จนถึงขั้นอาจยอมไปหารือกับญี่ปุ่นเกี่ยวกับข้อพิพาทในทะเลจีนตะวันออก เพื่อลดแรงเสียดทานจากข้อพิพาทในทะเลจีนใต้
ถึงกระนั้น เออร์เนสต์ โบเวอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียจากศูนย์เพื่อการศึกษาทางยุทธศาสตร์และการระหว่างประเทศ มองว่า หากผู้นำอาเซียนรู้สึกว่าอเมริกากำลังลงทุนในอาเซียน จะทำให้แม้แต่สมาชิกที่อ่อนแอที่สุดโอนอ่อนผ่อนตามในการออกแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว เนื่องจากไม่มีประเทศใดต้องการให้จีนกดขี่ข่มเหงประเทศเพื่อนบ้านที่เล็กกว่า
โบเวอร์สำทับว่า โอบามากำลังพยายามสร้างบริบททางยุทธศาสตร์เพื่อล้อมกรอบให้จีนเล่นตามกติกา
ทางด้านเจ้าหน้าที่และนักการทูตกล่าวว่า เป้าหมายสำคัญในการประชุมสุดยอดครั้งนี้อยู่ที่การเห็นพ้องกับคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการถาวรแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เกี่ยวกับการอ้างสิทธิ์ของจีนเหนือดินแดนเกือบทั้งหมดในทะเลจีนใต้ภายใน “แผนที่เส้นประ 9 เส้น” ที่คาดว่าจะออกมาในไม่กี่เดือนนี้
การรับรองคำวินิจฉัยดังกล่าวร่วมกันระหว่างอเมริกากับอาเซียน ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร จะเท่ากับเป็นการกดดันจีนที่ยืนกรานไม่ยอมรับอำนาจศาลแห่งนี้
ที่ผ่านมาทำเนียบขาวล้มเหลวมาโดยตลอดในการพยายามโน้มน้าวให้จีนยุติการสร้างเกาะเทียมและสิ่งปลูกสร้างทางการทหารบนเกาะเหล่านั้นในทะเลจีนใต้ รวมทั้งให้แก้ไขข้อพิพาทด้วยการเจรจาและภายใต้หลักนิติธรรม
โบว์เลอร์ทิ้งท้ายว่า แม้อาจไม่ได้ผลในทันที แต่ผู้สนับสนุนแนวทางของอเมริกาหวังว่าในที่สุดแล้วจีนคงไม่ต้องการถูกโดดเดี่ยวในฐานะประเทศนอกคอกที่คัดค้านกฎหมายสากล