เอเจนซีส์ - ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ต่อโทรศัพท์พูดคุยกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียเมื่อวานนี้ (14 ก.พ.) โดยเรียกร้องให้มอสโกหยุดทิ้งระเบิดโจมตีกบฏสายกลางในซีเรียเพื่อค้ำจุนอำนาจให้ บาชาร์ อัล-อัสซาด ซึ่งเป็นสิ่งที่ตะวันตกมองว่าเป็นอุปสรรคสำคัญต่อกระบวนการยุติสงครามกลางเมือง
ชาติมหาอำนาจมีมติเห็นชอบเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (12) ให้ยุติความรุนแรงในซีเรีย ทว่าข้อตกลงซึ่งจะมีผลบังคับในช่วงปลายสัปดาห์นี้ยังไม่ได้รับการลงนามจากคู่ขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลซีเรียหรือกบฏกลุ่มต่างๆ ก็ตาม
ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของมอสโกซึ่งส่วนใหญ่พุ่งเป้าไปที่ฝ่ายกบฏ ช่วยให้กองทัพซีเรียสามารถรุกคืบกวาดชัยชนะครั้งใหญ่ที่เมืองอะเลปโป ซึ่งเคยเป็นทั้งเมืองใหญ่อันดับ 1 และศูนย์กลางธุรกิจของซีเรีย ก่อนที่สงครามจะปะทุขึ้นเมื่อเกือบ 5 ปีก่อน
ผู้สังเกตการณ์ส่วนใหญ่ยังไม่คาดหวังมากนักว่า ข้อตกลงยุติความรุนแรงที่เมืองมิวนิกจะสามารถดับไฟสงครามซึ่งผลาญชีวิตพลเมืองซีเรียไปแล้วเกือบ 250,000 คนในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาได้
ทำเนียบเครมลินแถลงว่า ปูติน และ โอบามา ตกลงที่จะร่วมมือกันให้มากยิ่งขึ้นเพื่อผลักดันการบังคับใช้ข้อตกลงที่มิวนิก แต่อย่างไรก็ตาม รัสเซียยังจะเดินหน้าโจมตีกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) “และองค์กรก่อการร้ายอื่นๆ” ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งเท่ากับบอกเป็นนัยๆ ว่า มอสโกจะไม่หยุดทิ้งบอมบ์ใส่นักรบญิฮาดทางภาคตะวันตกของซีเรีย เช่น เครือข่ายอัลกออิดะห์ ซึ่งสู้รบกับรัฐบาลอัสซาดอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับกลุ่มกบฏที่ตะวันตกถือว่าเป็น “สายกลาง”
รัสเซียย้ำว่า “การยุติความรุนแรง” ที่ตกลงกันไม่ได้ครอบคลุมถึงการโจมตีทางอากาศ ซึ่งที่ผ่านมาได้ช่วยให้กองทัพอัสซาดพลิกกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบ
รัสเซียยืนยันว่า เป้าหมายหลักๆ ของฝูงบินขับไล่หมีขาวคือ กลุ่มติดอาวุธ อัล-นุสรา ฟรอนท์ ซึ่งเป็นเครือข่ายอัลกออิดะห์ แต่ชาติตะวันตกเชื่อว่ารัสเซียจงใจบั่นทอนกำลังของกบฏสายกลางควบคู่กันไปด้วย
ด้านทำเนียบขาวระบุว่า ผู้นำสหรัฐฯ ย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไปยังซีเรียโดยด่วน ส่วนการโจมตีทางอากาศก็ต้องกระทำในวงจำกัดเท่านั้น
“ประธานาธิบดีโอบามาได้ย้ำเป็นพิเศษถึงความจำเป็นที่รัสเซียจะต้องแสดงบทบาทอย่างสร้างสรรค์ โดยหยุดทิ้งระเบิดโจมตีกบฏสายกลางในซีเรีย” ถ้อยแถลงจากทำเนียบขาวระบุ
สถานการณ์ในซีเรียล่าสุดยิ่งทวีความซับซ้อน เมื่อหน่วยทหารปืนใหญ่ของตุรกีระดมยิงโจมตีกลุ่มติดอาวุธชาวเคิร์ด YPG ซึ่งเข้ามายังพื้นที่ตอนเหนือของเมืองอะเลปโป ใกล้พรมแดนตุรกี
กองกำลัง YPG ซึ่งได้การทิ้งระเบิดของรัสเซียช่วยหนุน สามารถยึดฐานทัพอากาศที่เมืองเมนาก (Menagh) ทางตอนเหนือของซีเรียได้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สร้างความไม่พอใจอย่างยิ่งแก่รัฐบาลอังการาที่มองว่า YPG เป็นเครือข่ายเดียวกับกลุ่มกบฏพรรคแรงงานเคอร์ดิสถาน (PKK) ที่ก่อความไม่สงบบนแผ่นดินตุรกีมานานถึง 3 ทศวรรษ ในขณะที่สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรกลับเห็นว่า YPG เป็นกำลังสำคัญที่ช่วยต่อสู้กับกลุ่มไอเอส
กองทัพตุรกีเริ่มยิงถล่มข้ามพรมแดน พร้อมยื่นเงื่อนไขให้ YPG ถอนกำลังออกจากพื้นที่ซึ่งยึดได้จากกบฏซีเรียในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา รวมถึงฐานทัพอากาศเมนากด้วย
ศูนย์สังเกตการณ์สิทธิมนุษยชนซีเรีย (Syrian Observatory for Human Rights) รายงานว่า มีนักรบเคิร์ด YPG เสียชีวิตจากการโจมตีของตุรกีแล้วอย่างน้อย 2 นาย
รัฐบาลซีเรียออกมาขู่ตอบโต้การกระทำของตุรกี ซึ่งเข้าข่าย “ละเมิดอธิปไตย”
“กองทัพตุรกียิงปืนใหญ่ข้ามเข้ามายังดินแดนของซีเรีย เท่ากับช่วยสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธเครือข่ายอัลกออิดะห์โดยตรง” จอดหมายซึ่งรัฐบาลซีเรียยื่นต่อเลขาธิการสหประชาชาติ และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติระบุ
ดามัสกัสยังกล่าวหาว่าตุรกีเปิดทางให้นักรบติดอาวุธราว 100 คน “ซึ่งคาดว่าเป็นทหารตุรกี หรือทหารรับจ้าง” เข้ามาในเขตแดนของซีเรีย
“รัฐบาลซีเรียขอสงวนไว้ซึ่งสิทธิในการตอบโต้อาชญากรรมและการโจมตีจากฝ่ายตุรกี และการเรียกร้องค่าชดเชยจากความเสียหายที่เกิดขึ้น”
ด้านกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสก็ออกมาเตือนให้ตุรกียุติการโจมตีกองกำลังเคิร์ดในภาคเหนือของซีเรียทันที