เมื่อวันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา ผู้คนทั่วโลกโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ต่างมีอันต้องตกตะลึงขวัญผวากันอีกครา หลังจากที่รัฐบาลคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือภายใต้การนำของผู้นำคิม จอง-อึน ทำการทดสอบยิงจรวดเพื่อโชว์ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีขีปนาวุธล่าสุดของตน โดยที่การยิงจรวดของทางรัฐบาลเปียงยางในครั้งนี้ มีขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น หลังจากที่รัฐบาลโสมแดงเพิ่งทำการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ของตนเป็นคำรบที่ 4 โดยไม่ฟังเสียงทัดทาน-ประณามของนานาชาติ
แน่นอนว่า ท่าทีของเกาหลีเหนือที่ทั้งเปี่ยมไปด้วยการยั่วยุและความก้าวร้าวแบบไม่แยแสชาวโลกดังกล่าวได้สร้างความไม่สบายใจอย่างยิ่งยวดให้กับประเทศน้อยใหญ่ทั่วโลกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ตลอดจนบรรดาประเทศเพื่อนบ้านที่รายรอบเกาหลีเหนือในภูมิภาคเอเชียตะวันออก อย่างญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ที่รู้สึกว่าประเทศของตนถูกคุกคามอย่างเลวร้ายและโจ่งแจ้ง ตลอดจนรูสึกว่า ตนเองสุ่มเสี่ยงที่จะถูกโจมตีจากรัฐบาลคอมมิวนิสต์เปียงยางที่เอาแน่เอานอนมิได้
ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งกำลังเข้าสู่ช่วงปลายของการบริหารประเทศในวาระที่ 2 ถึงกับต่อสายตรงถึง 2 ครั้งถึงผู้นำชาติพันธมิตรหลักในเอเชียอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ในช่วงค่ำวันจันทร์ (8 ก.พ.) ที่ผ่านมาเพื่อรวบรวมเสียงสนับสนุนจากโตเกียวและโซลสำหรับออกมาตรการหนักหน่วงในเวทีนานาชาติ ต่อเกาหลีเหนือ ต่อกรณีทดสอบระเบิดนิวเคลียร์และการทดลองยิงขีปนาวุธล่าสุด ท่ามกลางกระแสข่าวที่ระบุว่า ผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ (ซีไอเอ) ได้ยืนยันถึงการตรวจพบความเคลื่อนไหวของรัฐบาลคอมมิวนิสต์เปียงยางที่เริ่มกลับมาเดินเครื่องเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์- ผลิตแร่พลูโตเนียมอีกครั้งแล้ว
คำแถลงของทางทำเนียบขาวที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เผยว่า ประธานาธิบดีโอบามาได้พูดคุยกับนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ แห่งญี่ปุ่นและประธานาธิบดีหญิง พัค กึน-ฮเย ของเกาหลีใต้ เพื่อหารือเกี่ยวกับ “next step”หรือก้าวย่างต่อไปในการหาหนทางรับมือภัยคุกคามจากเปียงยาง โดยหนึ่งในนั้น นับรวมถึงการออกมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่จะปูทางนำมาซึ่งมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ ที่เข้มงวดกว่าและโหดยิ่งกว่าเดิมต่อเกาหลีเหนือ
จากข้อมูลของทั้งทางทำเนียบขาวและหน่วยข่าวกรองอเมริกันเผยตรงกันว่า ทั้งโอบามา อาเบะ และพัค ต่างเห็นพ้องต้องกันถึงความจำเป็นในการตอบโต้อย่างหนักหน่วงสาสม และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของนานา ชาติต่อการยั่วยุและพฤติกรรมก้าวร้าวของเกาหลีเหนือ
ด้านที่ประชุมของ 15 ชาติสมาชิกของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ได้ร่วมกันออกคำแถลงประณามการยิงจรวดของทางเกาหลีเหนือ เมื่อวันอาทิตย์ (7 ก.พ.) ที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ที่ประชุมยังเห็นพ้องให้ดำเนินมาตรการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในการกำหนดแนวทางคว่ำบาตรรอบใหม่ ที่จะมุ่งลง โทษรัฐบาลเปียงยาง
ในอดีตที่ผ่านมารัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือรัฐบาลปักกิ่ง มักลังเลที่จะสนับสนุนมาตรการคว่ำบาตรพหุภาคีของนานาชาติต่อ เกาหลีเหนือ ด้วยความกังวลว่า การโดดเดี่ยวรัฐบาลเปียงยางโดยเฉพาะในทางเศรษฐกิจและทางการเมือง จะก่อความไร้เสถียรภาพในระบบการปกครองของเกาหลีเหนือซึ่งมีชายแดนติดกับจีน
ในท่ามกลางความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯและพันธมิตรที่กำลังหาทาง กำหนดมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือร่วมกันให้หนักหน่วงขึ้น นายเจมส์ แคลปเปอร์ ผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ระบุในวันอังคาร (9 ก.พ.) โดยอ้างว่า ในเวลานี้รัฐบาลเปียงยาง กลับมาเดินเครื่องเตาปฏิกรณ์ผลิตพลูโตเนียมอีกครั้ง เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับกระบวนการสร้างอาวุธนิวเคลียร์
คำกล่าวอ้างของผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ในวันอังคาร (9 ก.พ.) สอดคล้องกับข้อมูลของสถาบันวิทยาศาสตร์และความมั่นคงแห่งชาติที่มีสำนักงานอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ที่ระบุว่าจากภาพถ่ายดาวเทียมล่าสุด บ่งชี้ว่าขณะนี้กำลังมีการเดินเครื่องเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในเกาหลีเหนือเป็นพักๆ
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลเกาหลีเหนือได้ระงับปฏิบัติการต่างๆ ณ โรงงานนิวเคลียร์ “ยองบยอน” ของตนลง ในปี 2007 ภายใต้ข้อตกลงกับนานาชาติที่เสนอให้รัฐบาลเปียงยางรื้อถอนเทคโนโลยีนิวเคลียร์ เพื่อแลกกับความช่วยเหลือในด้านต่างๆ แต่ทว่า รัฐบาลเปียงยางได้เริ่มเดินเครื่องเตาปฏิกรณ์ของตนใหม่อีกครั้งหนึ่ง หลังจากการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์รอบ 3 ในปี 2013 ซึ่งทางผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ในความเป็นจริงแล้ว เกาหลีเหนือมีศักยภาพเพียงพอที่จะผลิตพลูโตเนียมได้ราว 6 กิโลกรัมต่อปี ซึ่งนั่นก็ถือว่า มากเพียงพอแล้ว สำหรับการผลิตระเบิดนิวเคลียร์ 1 ลูก
ล่าสุด รัฐบาลญี่ปุ่นได้ออกคำแถลงในวันพุธ (10 ก.พ. ) ประกาศออกมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือรอบใหม่ เพื่อลงโทษที่เปียงยางทำการทดสอบยิงขีปนาวุธพิสัยที่เกาหลีเหนืออ้างเป็นการยิงจรวด เพื่อส่งดาวเทียมสำรวจทรัพยากรธรรมชาติในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ด้านสำนักข่าวเอพีรายงานว่า ในคำแถลงที่ออกมาจากรัฐบาลญี่ปุ่นนั้นมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ยังรวมไปถึงการขยายการจำกัดการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างทั้งสองชาติ และรวมไปถึงออกคำสั่ง ห้ามไม่ให้เรือทุกลำที่มีสัญชาติเกาหลีเหนือเข้ามาจอดที่ตามเมืองท่าต่างๆ ของญี่ปุ่นด้วย
ขณะที่รัฐบาลเกาหลีใต้มีคำสั่งระงับการผลิตที่นิคมอุตสาหกรรมแกซอง ซึ่งตั้งอยู่ในเขตแดนเกาหลีเหนือตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์นี้เป็นต้นไปเพื่อตอบโต้ที่ทางการเปียงยางยิงจรวดพิสัยไกล และทดลองนิวเคลียร์ครั้งที่ 4 โดยการตัดสินใจล่าสุดนี้เท่ากับว่านับเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลโซล ตัดสินใจสั่งปิดนิคมอุตสาหกรรมแกซอง หลังจากที่เขตอุตสาหกรรมร่วมแห่งนี้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 2004 เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความปรองดอง และความร่วมมือข้ามพรมแดนระหว่างสองเกาหลี
แต่อย่างไรก็ตามยังคงไม่เป็นที่แน่ชัดและยังคงต้องรอดูความชัดเจนในเรื่องนี้ไปอีกสักระยะว่า สุดท้ายแล้ว การประกาศมาตรการคว่ำบาตรต่อเกาหลีเหนือรอบใหม่นั้น จะสามารถสร้างความระคายเคืองต่อรัฐบาลคอมมิวนิสต์เปียงยางได้หรือไม่ และได้มากน้อยเพียงใด ถึงแม้หลายฝ่ายจะลงความเห็นตรงกันในระดับหนึ่งแล้วว่า มาตรการทั้งปวงที่ทั้งสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น รวมถึงเกาหลีใต้ต่างผนึกกำลังกันคลอดออกมานั้น อาจสร้างบทเรียนให้กับเกาหลีเหนือได้ไม่มากนัก และถือว่าช้าเกินไปแล้วในการหยุดยั้งเกาหลีเหนือที่ก้าวเดินไปบนเส้นทางสายนิวเคลียร์