เอเจนซีส์ / MGR online - ธนาคารใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น “แบงก์ ออฟ โตเกียว-มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ” ประกาศในวันพุธ (10 ก.พ.) โดยยืนยันการหวนคืนทำธุรกรรมทางการเงินกับสถาบันการเงินของอิหร่านแล้ว หลังจากที่รัฐบาลโตเกียวภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ประกาศเมื่อเดือนที่แล้วยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทั้งปวงที่เคยบังคับใช้ต่ออิหร่านจากผลพวงของโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของรัฐบาลเตหะราน
ความเคลื่อนไหวล่าสุดส่งผลให้นับจากนี้ทางแบงก์ ออฟ โตเกียว-มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ (บีทีเอ็มยู) สามารถทำหน้าที่สื่อกลางในการชำระหนี้สินของบรรดาโรงกลั่นน้ำมันในญี่ปุ่นที่ติดค้างชำระค่าน้ำมันต่ออิหร่านตั้งแต่ช่วงกลางปี 2012 ทั้งในรูปแบบของเงินเยน และเงินยูโร
เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทางการอิหร่านเพิ่งลงนามในข้อตกลงขายน้ำมันดิบสูงถึง 200,000 บาร์เรลต่อวันให้กับ “โตตาล” ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานจากแดนน้ำหอม ท่ามกลางกระแสข่าวในอุตสาหกรรมพลังงานว่า บริษัทพลังงานอื่นๆ ทั้งลุคออยล์ของรัสเซีย รวมถึงเซ็ปซาของสเปนต่างกำลังหาช่องทางบรรลุข้อตกที่คล้ายคลึงกันนี้กับรัฐบาลอิหร่าน รวมถึงบริษัทคอสโม เอนเนอร์ยี โฮลดิ้งส์, บริษัทชิโยดะ คอร์ป และอินเป็กซ์ คอร์ป จากญี่ปุ่น
ความเคลื่อนไหวล่าสุดเป็นผลพวงจากการที่นานาชาติประกาศอย่างเป็นทางการในเดือนที่แล้ว ยืนยันยุติมาตรการคว่ำบาตรทั้งปวงต่ออิหร่าน หลังจากที่รัฐบาลอิหร่านปฏิบัติตามเงื่อนไขในการยอมลดทอนโครงการนิวเคลียร์ของตนไม่ให้มุ่งสู่การสร้างอาวุธมหาประลัย และจำกัดการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนิวเคลียร์เอาไว้เพียงด้านพลังงาน
ทั้งนี้ อิหร่านและมหาอำนาจทั้ง 6 ชาติ (กลุ่ม P5+1) ซึ่งประกอบไปด้วย 5 ชาติสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ คือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และสาธารณรัฐประชาชนจีน บวกกับอีก 1 ประเทศมหาอำนาจจากฝั่งยุโรปอย่างเยอรมนี สามารถบรรลุความตกลงประวัติศาสตร์ทางด้านนิวเคลียร์กันได้เมื่อ 14 ก.ค. ปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการปิดฉากการเจรจาแบบมาราธอนที่ใช้เวลายาวนานกว่า 1 ทศวรรษ และว่ากันว่านี่เป็นข้อตกลงซึ่งจะพลิกโฉมการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลางครั้งใหญ่
หลังการบรรลุข้อตกลงดังกล่าว ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ออกมาแถลงยกย่องว่านี่ถือเป็นก้าวย่างสำคัญไปสู่ “โลกแห่งความหวังที่เพิ่มสูงขึ้น” และตอกย้ำในเวลาต่อมาว่า ข้อตกลงประวัติศาสตร์นี้ถือเป็นแนวทางที่ดีที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางอาวุธนิวเคลียร์ และเพิ่มความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลาง
ขณะที่ประธานาธิบดี ฮัสซัน รูฮานี ผู้นำสายกลางของอิหร่าน แถลงว่า ความสำเร็จในการบรรลุข้อตกลงด้านนิวเคลียร์ครั้งนี้ถือเป็นข้อพิสูจน์ว่าการมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ได้ผลดียิ่ง และว่าหากการเผชิญหน้ากันอย่างศัตรูระหว่างวอชิงตันกับเตหะรานยังดำเนินอยู่ต่อไป ก็คงไม่มีความเป็นไปได้แม้แต่น้อยที่ข้อตกลงเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอิสราเอลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ประกาศว่าจะเดินหน้าทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางทำลายล้างข้อตกลงอัปยศฉบับนี้ ซึ่งทางฝ่ายอิสราเอลมองว่าเป็น “การยอมจำนนครั้งประวัติศาสตร์” ของสหรัฐฯ และโลกตะวันตกให้กับชาติที่ชั่วร้ายอย่างอิหร่าน
ภายใต้ข้อตกลงนี้ มาตรการลงโทษคว่ำบาตรต่ออิหร่านทั้งปวงของสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป (อียู) และสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่บังคับใช้มายาวนานได้ถูกยกเลิกตั้งแต่เดือนที่ผ่านมา เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่รัฐบาลเตหะรานยอมตกลงตัดทอนโครงการนิวเคลียร์ของตน ซึ่งสหรัฐฯ และโลกตะวันตกสงสัยมาโดยตลอดว่ามีเป้าหมายในการสร้าง “ระเบิดนิวเคลียร์” ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่เตหะรานยืนกรานปฏิเสธ
นักวิเคราะห์มองว่า การบรรลุข้อตกลงประวัติศาสตร์ครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะสำคัญ ทั้งสำหรับบารัค โอบามา และฮัสซัน รูฮานี และถือเป็นผลดีต่อการลดทอนความตึงเครียด ในเวทีการเมืองระหว่างประเทศที่มีมายาวนาน ถึงแม้ว่าผู้นำทั้งสองต่างต้องเผชิญหน้ากับแรงต่อต้านอย่างหนักหน่วงจากบรรดา “นักการเมืองสายเหยี่ยว” ภายในประเทศของตนเอง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่นักการเมืองจำนวนมากยังคงมองอิหร่านเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่เป็น “แกนอักษะแห่งปีศาจ”
ด้านสำนักข่าวไออาร์เอ็นเอของทางการอิหร่านรายงานว่า ผลของข้อตกลงนี้ทำให้อิหร่านได้รับเงินนับหมื่นล้านดอลลาร์ที่ถูกอายัดไว้กลับคืนมา ขณะที่บรรดามาตรการคว่ำบาตรที่มีต่อธนาคารกลาง บริษัทน้ำมันแห่งชาติ บริษัทชิปปิ้ง และสายการบินของอิหร่านจะถูกยกเลิก ถึงแม้มาตรการขององค์การสหประชาชาติในเรื่องการคว่ำบาตรห้ามซื้อขายอาวุธกับอิหร่านจะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปอีก 5 ปี และห้ามอิหร่านจัดซื้อเทคโนโลยีด้านขีปนาวุธอีกนาน 8 ปี
ว่ากันว่าผลประโยชน์ที่อิหร่านจะได้รับจากข้อตกลงคราวนี้อาจสร้างความกังวลต่อชาติพันธมิตรอาหรับของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในกรณีของซาอุดีอาระเบีย ประเทศที่ปกครองโดยมุสลิมนิกายสุหนี่ ที่เชื่อว่าอิหร่านซึ่งเปรียบเหมือนผู้นำของฝ่ายมุสลิมนิกายชีอะห์ ให้การสนับสนุนต่อศัตรูของตนทั้งในสมรภูมิที่ซีเรีย เยเมน และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
อย่างไรก็ดี รัฐบาลอเมริกันมองเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอิหร่านที่มี “ศัตรูร่วมกัน” คือ กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ที่กำลังยึดครองพื้นที่กว้างขวางทั้งในอิรักและซีเรียอยู่ในเวลานี้ และถือเป็น “ภัยคุกคามใหญ่หลวง” ต่อสันติภาพของโลก
ในอีกด้านหนึ่ง การยุติมาตรการคว่ำบาตรทั้งปวงส่งเสริมให้เศรษฐกิจอิหร่านเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสามารถกลับเข้าสู่ “ตลาดน้ำมัน” ได้อีกครั้ง แม้ในความเป็นจริงแล้วกว่าที่น้ำมันจากอิหร่านจะกลับเข้าไปซื้อขายในตลาดโลกได้อย่างเต็มรูปแบบนั้น อาจต้องรอถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2016 ก็ตาม