เอเจนซีส์ / MGR online - “โคโดร” บรรษัทยานยนต์แห่งชาติของอิหร่าน เตรียมลงนามในข้อตกลงเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ “เปอโยต์” ค่ายยานยนต์ยักษ์ใหญ่จากฝรั่งเศสในวันพุธ (27 ม.ค.) นี้ โดยข้อตกลงร่วมลงทุนในอิหร่านซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 500 ล้านยูโรนี้จะถูกลงนามอย่างเป็นทางการระหว่างการเดินทางเยือนฝรั่งเศสของประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานี ผู้นำสายกลางของอิหร่าน
รายงานจากสำนักข่าวตัสนิมซึ่งอ้างแหล่งข่าวในอุตสาหกรรมรถยนต์ระบุว่า ทั้งโคโดรและเปอโยต์จะร่วมกันลงทุนในสัดส่วน “50-50” เพื่อผลิตรถยนต์เปอโยต์ 2008 ครอสส์โอเวอร์, เปอโยต์ 208 ซูเปอร์มินิ และรถยนต์คอมแพกต์คาร์เปอโยต์รุ่น 301 โดยจะมีการตั้งฐานผลิตรถยนต์รุ่นเหล่านี้รวมถึงอีก 2 รุ่นซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยในอิหร่าน และชิ้นส่วนของรถราว 50 เปอร์เซ็นต์จะผลิตขึ้นจากวัตถุดิบในอิหร่าน ที่ถือเป็นตลาดรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของค่ายเปอโยต์ในยุคก่อนที่อิหร่านจะโดนนานาชาติคว่ำบาตรจากผลพวงของการพัฒนาโครงการนิวเคลียร์
ก่อนหน้าที่อิหร่านจะถูกคว่ำบาตร และเปอโยต์ต้องถูกบังคับให้ถอนตัวออกจากการทำตลาดในสาธารณรัฐอิสลามแห่งนี้นั้น มีรายงานว่าเปอโยต์สามารถทำยอดขายรถของตนในอิหร่านได้สูงถึง 473,000 คันในปี 2012
ทั้งนี้ อิหร่านถือเป็นตลาดยานยนต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคตะวันออกกลาง จากยอดจำหน่ายรถยนต์เฉลี่ยที่สูงถึงปีละ 1.7 ล้านคัน และอุตสาหกรรมรถยนต์ก็ยังถือเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศนี้ รองจากอุตสาหกรรมน้ำมัน
ความเคลื่อนไหวล่าสุดเกิดขึ้นเพียง 1 วันหลังจากมีรายงานข่าวว่าประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานี ผู้นำอิหร่าน มีกำหนดเดินทางเยือนอิตาลีและฝรั่งเศสในสัปดาห์หน้าเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับยุโรป โดยการเดินทางเยือนต่างประเทศหนนี้ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการบรรลุข้อตกลงด้านนิวเคลียร์ที่นำไปสู่การที่นานาชาติยอมยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทั้งปวงต่อสาธารณรัฐอิสลามแห่งนี้ในที่สุด
รายงานข่าวระบุว่า การเดินทางเยือนยุโรปของประธานาธิบดีอิหร่าน ซึ่งจะเปิดฉากขึ้นในวันจันทร์ (25 ม.ค.) ได้เลื่อนมาจากกำหนดเดิมเมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวเพิ่งเกิดการโจมตีของสมาชิกกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) 6 จุดกลางกรุงปารีสของฝรั่งเศส เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 130 ราย
เวลานี้อิหร่านกำลังมองหาลู่ทางในการฟื้นคืนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับทั้งโรม และปารีส ที่ถือเป็นหุ้นส่วนสำคัญทางเศรษฐกิจของอิหร่านมายาวนานตั้งแต่ช่วงก่อนการถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติเมื่อเดือนมกราคม ปี 2012
การเดินทางเยือนยุโรปครั้งนี้ ประธานาธิบดีรูฮานีได้นำคณะผู้แทนระดับสูง ทั้งทางการเมืองและภาคธุรกิจของอิหร่านติดตามไปด้วย และมีกำหนดเข้าพบกับทั้งประธานาธิบดี แซร์โจ มัตตาเรลลา และนายกรัฐมนตรีมัตเตโอ เรนซี ก่อนจะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในเวทีประชุมด้านเศรษฐกิจเวทีหนึ่งในแดนมะกะโรนี
ผู้นำสายกลางของอิหร่านยังมีกำหนดเข้าพบสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ณ นครรัฐวาติกันด้วยเช่นกัน ซึ่งจะถือเป็นประธานาธิบดีอิหร่านคนแรกที่เข้าพบประมุขแห่งคริสตจักรคาทอลิกอย่างเป็นทางการ ถัดจากอดีตประธานาธิบดีสายปฏิรูปอย่างโมฮัมหมัด คาตามี เมื่อปี ค.ศ. 1999
หลังเสร็จสิ้นการเยือนอิตาลี ประธานาธิบดีของอิหร่านมีกำหนดเดินทางต่อไปยังฝรั่งเศส เพื่อเข้าพบกับประธานาธิบดี ฟรองซัวส์ ออลลองด์ ผู้นำแดนน้ำหอม ท่ามกลางกระแสข่าวที่ระบุว่าการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ และพลังงานจะเป็นหัวข้อหลักที่ผู้นำอิหร่าน จะนำมาหารือระหว่างการเยือนฝรั่งเศสครั้งนี้
ก่อนหน้านี้เมื่อ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา โมฮัมหมัด จาวาด ซาริฟ รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านออกโรงยืนยัน โดยระบุมาตรการคว่ำบาตรทั้งปวงของนานาชาติต่อสาธารณรัฐอิสลามของตนถูกยกเลิกหมดสิ้นแล้ว
รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านเปิดเผยข่าวน่ายินดีดังกล่าว ระหว่างเดินทางเยือนกรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย เพื่อร่วมเป็นสักขีพยานการออกรายงานฉบับสุดท้ายของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (ไอเออีเอ) ซึ่งมีการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าอิหร่านได้ปฏิบัติตามทุกขั้นตอนตามเงื่อนไขที่ทำไว้กับนานาชาติ รวมถึงข้อสรุปที่ว่า โครงการพัฒนาด้านนิวเคลียร์ของอิหร่านไม่ได้มีจุดมุ่งหมายแอบแฝงในการสร้างอาวุธนิวเคลียร์
อิหร่านและมหาอำนาจทั้ง 6 ชาติ (กลุ่ม P5+1) ซึ่งประกอบไปด้วย 5 ชาติ “สมาชิกถาวร” ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ คือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และสาธารณรัฐประชาชนจีน บวกกับอีก 1 ประเทศมหาอำนาจจากฝั่งยุโรปอย่างเยอรมนี สามารถบรรลุความตกลงประวัติศาสตร์ทางด้านนิวเคลียร์กันได้เมื่อวันที่ 14 ก.ค. ปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการปิดฉากการเจรจาแบบมาราธอนที่ใช้เวลายาวนานกว่า 1 ทศวรรษ และว่ากันว่านี่อาจเป็นข้อตกลงซึ่งน่าจะพลิกโฉมการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลางครั้งใหญ่
หลังการบรรลุข้อตกลงดังกล่าว ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ออกมาแถลงยกย่องว่า นี่ถือเป็นก้าวย่างสำคัญไปสู่ “โลกแห่งความหวังที่เพิ่มสูงขึ้น” และตอกย้ำในเวลาต่อมาว่า ข้อตกลงประวัติศาสตร์นี้ถือเป็นแนวทางที่ดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางอาวุธนิวเคลียร์ และเพิ่มความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลาง
ขณะที่ประธานาธิบดี ฮัสซัน รูฮานี ผู้นำสายกลางของอิหร่านแถลงว่า ความสำเร็จในการบรรลุข้อตกลงด้านนิวเคลียร์ครั้งนี้ถือเป็นข้อพิสูจน์ว่าการมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ได้ผลดียิ่ง และว่าหากการเผชิญหน้ากันอย่างศัตรูระหว่างวอชิงตันกับเตหะรานยังดำเนินอยู่ต่อไป ก็คงไม่มีความเป็นไปได้แม้แต่น้อยที่ข้อตกลงเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอิสราเอล ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ประกาศว่า จะเดินหน้าทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางทำลายล้างข้อตกลงอัปยศฉบับนี้ ซึ่งฝ่ายอิสราเอลมองว่าเป็น “การยอมจำนนครั้งประวัติศาสตร์” ของสหรัฐฯ และฝ่ายโลกตะวันตก ให้กับชาติที่ชั่วร้ายอย่างอิหร่าน
ภายใต้ข้อตกลงนี้มาตรการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป (อียู) และสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่บังคับใช้มายาวนานจะถูกยกเลิก เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่รัฐบาลเตหะรานยอมตกลงตัดทอนโครงการนิวเคลียร์ของตน ซึ่งสหรัฐฯ และโลกตะวันตกสงสัยมาโดยตลอดว่ามีเป้าหมายในการสร้าง “ระเบิดนิวเคลียร์” ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่เตหะรานยืนกรานปฏิเสธ
นักวิเคราะห์มองว่า การบรรลุข้อตกลงประวัติศาสตร์ครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะสำคัญ ทั้งสำหรับบารัค โอบามา และฮัสซัน รูฮานี และถือเป็นผลดีต่อการลดทอนความตึงเครียด ในเวทีการเมืองระหว่างประเทศที่มีมายาวนาน ถึงแม้ว่าผู้นำทั้งสองต่างต้องเผชิญหน้ากับแรงต่อต้านอย่างหนักหน่วงจากบรรดา “นักการเมืองสายเหยี่ยว” ภายในประเทศของตนเอง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่นักการเมืองจำนวนมากยังคงมองอิหร่านเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่เป็น “แกนอักษะแห่งปีศาจ”
ด้านสำนักข่าวไออาร์เอ็นเอของทางการอิหร่านรายงานว่า ผลของข้อตกลงนี้จะทำให้อิหร่านได้รับเงินนับหมื่นล้านดอลลาร์ที่ถูกอายัดไว้กลับคืนมา ขณะที่บรรดามาตรการคว่ำบาตรที่มีต่อธนาคารกลาง บริษัทน้ำมันแห่งชาติ บริษัทชิปปิ้ง และสายการบินของอิหร่านจะถูกยกเลิกถึงแม้มาตรการขององค์การสหประชาชาติในเรื่องการคว่ำบาตรห้ามซื้อขายอาวุธกับอิหร่านจะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปอีก 5 ปี และห้ามอิหร่านจัดซื้อเทคโนโลยีด้านขีปนาวุธอีกนาน 8 ปี
ว่ากันว่าผลประโยชน์ที่อิหร่านจะได้รับจากข้อตกลงคราวนี้อาจสร้างความกังวลต่อชาติพันธมิตรอาหรับของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในกรณีของซาอุดีอาระเบีย ประเทศที่ปกครองโดยมุสลิมนิกายสุหนี่ ที่เชื่อว่าอิหร่านซึ่งเปรียบเหมือนผู้นำของฝ่ายมุสลิมนิกายชีอะห์ ให้การสนับสนุนต่อศัตรูของตนทั้งในสมรภูมิที่ซีเรีย เยเมน และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
อย่างไรก็ดี รัฐบาลอเมริกันมองเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอิหร่านที่มี “ศัตรูร่วมกัน” คือกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ที่กำลังยึดครองพื้นที่กว้างขวางทั้งในอิรักและซีเรียอยู่ในเวลานี้ และถือเป็น “ภัยคุกคามใหญ่หลวง” ต่อสันติภาพของโลก
ในอีกด้านหนึ่ง การยุติมาตรการคว่ำบาตรทั้งปวงจะช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจอิหร่านเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสามารถกลับเข้าสู่ “ตลาดน้ำมัน” ได้อีกครั้ง แม้ในความเป็นจริงแล้วกว่าที่น้ำมันจากอิหร่านจะกลับเข้าไปซื้อขายในตลาดโลกได้อย่างเต็มรูปแบบนั้นอาจต้องรอถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2016 นี้ก็ตาม