xs
xsm
sm
md
lg

รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ-อิหร่าน ถกความคืบหน้า วอชิงตันเลิกคว่ำบาตรเตหะราน หลังบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เอเจนซีส์ / MGR Online - โมฮัมหมัด จาวาด ซาริฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่าน เผยในวันอาทิตย์ (15 พ.ย.) โดยระบุว่าได้พบหารือกับจอห์น เคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ แบบนอกรอบระหว่างการประชุมสันติภาพซีเรีย ที่กรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรียเมื่อวันเสาร์ (14 พ.ย.) เกี่ยวกับความคืบหน้าในการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่านที่บังคับใช้โดยสหรัฐอเมริกามายาวนาน

รายงานซึ่งอ้างสำนักข่าวในความควบคุมของทางการอิหร่านระบุว่า ซาริฟและเคร์รีได้พบหารือกันนอกรอบที่กรุงเวียนนา ระหว่างที่ทั้งคู่เดินทางเข้าร่วมการประชุมนานาชาติ ว่าด้วยกระบวนการยุติสงครามกลางเมืองและการสร้างสันติภาพในซีเรีย โดยในบรรดาหัวข้อหลักในการหารือระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศทั้งสองถูกระบุว่า มีประเด็นความคืบหน้าเกี่ยวกับการตัดทอนโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ตามข้อตกลงที่อิหร่านทำไว้กับชาติมหาอำนาจเมื่อช่วงกลางปี รวมทั้งมีการหารือกันถึงความคืบหน้าในการที่รัฐบาลวอชิงตันจะยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทั้งปวง ที่เคยบังคับใช้ต่อรัฐบาลเตหะราน

ด้าน อับบาส อะรากชี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอิหร่านเปิดเผยเพิ่มเติมในเวลาต่อมา หลังเข้าพบหารือกับเฮลกา ชมิด รองประธานนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป (อียู) โดยยืนยันว่าการลงนามในข้อตกลงอย่างเป็นทางการระหว่างรัฐบาลอิหร่านกับผู้แทนของ 6 ชาติมหาอำนาจ เพื่อการออกแบบเตาปฏิกรณ์ในโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านเสียใหม่จะมีผลบังคับใช้อย่างสมบูรณ์ในวันจันทร์ ( 16 พ.ย.) นี้

อิหร่านและมหาอำนาจทั้ง 6 ชาติ (กลุ่ม P5+1) ซึ่งประกอบไปด้วย 5 ชาติ “สมาชิกถาวร” ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติคือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซียและสาธารณรัฐประชาชนจีนบวกกับอีก 1 มหาอำนาจ จากฝั่งยุโรปอย่างเยอรมนี สามารถบรรลุความตกลงประวัติศาสตร์ทางด้านนิวเคลียร์กันได้เมื่อวันที่ 14 ก.ค.ปีนี้ ซึ่งถือเป็นการปิดฉากการเจรจาแบบมาราธอนที่ใช้เวลายาวนานกว่า 1 ทศวรรษ และถือเป็นข้อตกลงที่พลิกโฉมการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลางครั้งใหญ่

หลังการบรรลุข้อตกลงดังกล่าว ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯออกมาแถลงยกย่องว่า นี่ถือเป็นก้าวย่างสำคัญไปสู่ “โลกแห่งความหวังที่เพิ่มสูงขึ้น” และตอกย้ำในเวลาต่อมาว่า ข้อตกลงประวัติศาสตร์นี้ถือเป็นแนวทางที่ดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางอาวุธนิวเคลียร์และช่วยลดความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลางลงได้อย่างสำคัญ

ขณะที่ประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานี ผู้นำสายกลางของอิหร่าน แถลงในเวลานั้นว่าความสำเร็จในการบรรลุข้อตกลงด้านนิวเคลียร์ครั้งนี้ถือเป็นข้อพิสูจน์ว่าการมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ได้ผลดียิ่งและว่าหากการเผชิญหน้ากันเยี่ยงศัตรูระหว่างวอชิงตันและเตหะรานยังดำเนินอยู่ต่อไป ก็คงไม่มีความเป็นไปได้แม้แต่น้อยที่ข้อตกลงเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอิสราเอลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ประกาศว่าจะเดินหน้าทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางทำลายล้างข้อตกลงอัปยศฉบับนี้ ซึ่งฝ่ายอิสราเอลมองว่าเป็น “การยอมจำนนครั้งประวัติศาสตร์” ของสหรัฐฯ และโลกตะวันตก ให้กับชาติที่ชั่วร้ายอย่างอิหร่าน

ภายใต้ข้อตกลงนี้ มาตรการลงโทษคว่ำบาตรอิหร่านทั้งของสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป (อียู) และสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่บังคับใช้มายาวนานจะถูกยกเลิก เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่รัฐบาลเตหะราน ยอมตกลงตัดทอนโครงการนิวเคลียร์ของตน ซึ่งสหรัฐฯ และโลกตะวันตกสงสัยมาโดยตลอดว่ามีเป้าหมายในการสร้าง “ระเบิดนิวเคลียร์” ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่เตหะรานยืนกรานปฏิเสธ

นักวิเคราะห์มองว่า การบรรลุข้อตกลงประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ถือเป็นชัยชนะสำคัญทั้งสำหรับบารัค โอบามา และฮัสซัน รูฮานี และถือเป็นผลดีต่อการลดทอนความตึงเครียดในเวทีการเมืองระหว่างประเทศที่มีมายาวนาน ถึงแม้ว่าผู้นำทั้งสองต่างต้องเผชิญหน้ากับแรงต่อต้านอย่างหนักหน่วง จากบรรดา“นักการเมืองสายเหยี่ยว” ภายในประเทศของตนเอง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่นักการเมืองจำนวนมากยังคงมองอิหร่านเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่เป็น “แกนอักษะแห่งปีศาจ”

ผลของการบรรลุข้อตกลงด้านนิวเคลียร์ครั้งประวัติศาสตร์เมื่อเดือนกรกฎาคมจะทำให้อิหร่านได้รับเงินนับหมื่นล้านดอลลาร์ที่ถูกอายัดไว้นานหลายปีกลับคืนมา ขณะที่บรรดามาตรการคว่ำที่มีต่อธนาคารกลาง บริษัทน้ำมันแห่งชาติ บริษัทชิปปิ้ง และสายการบินของอิหร่านจะถูกยกเลิก ถึงแม้มาตรการขององค์การสหประชาชาติในเรื่องการคว่ำบาตรห้ามซื้อขายอาวุธกับอิหร่านจะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปอีก 5 ปี และมาตรการห้ามอิหร่านจัดซื้อเทคโนโลยีด้านขีปนาวุธที่ยังคงมีผลบังคับใช้อีกนานถึง 8 ปี

ขณะเดียวกัน ทบวงพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (ไอเออีเอ) ซึ่งเป็นองค์กรชำนัญพิเศษในสังกัดยูเอ็น ประกาศว่าได้ร่วมลงนามข้อตกลงกับรัฐบาลเตหะรานในการแก้ไขปัญหาที่ยังค้างคาต่อกัน และจะเปิดเผยรายงานการตรวจสอบความคืบหน้าในการลดทอนโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านภายในวันที่ 15 ธันวาคมของปีนี้

ว่ากันว่าผลประโยชน์ที่อิหร่านจะได้รับจากข้อตกลงนิวเคลียร์ อาจสร้างความกังวลให้กับบรรดาชาติพันธมิตรอาหรับของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในกรณีของซาอุดีอาระเบีย ประเทศที่ปกครองโดยมุสลิมนิกายสุหนี่ ที่เชื่อว่าอิหร่านซึ่งเปรียบเหมือนผู้นำของฝ่ายมุสลิมนิกายชีอะห์ให้การสนับสนุนต่อศัตรูของตนทั้งในสมรภูมิที่ซีเรีย เยเมน และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค

อย่างไรก็ดี รัฐบาลอเมริกันมองเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอิหร่าน ที่ในเวลานี้มี “ศัตรูร่วมกัน” คือ กลุ่มนักรบญิฮัดรัฐอิสลาม (ไอเอส) ที่กำลังยึดครองพื้นที่กว้างขวางทั้งในอิรักและซีเรียอยู่ในเวลานี้ และถือเป็น “ภัยคุกคามใหญ่หลวง” ต่อสันติภาพและความมั่นคงปลอดภัยของผู้คนทั่วโลก

ในอีกด้านหนึ่ง การยุติมาตรการคว่ำบาตรทั้งปวงต่ออิหร่านจะช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจอิหร่านเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากอิหร่านจะสามารถหวนกลับเข้าสู่ “ตลาดน้ำมัน” ได้อีกครั้ง แม้ในความเป็นจริงแล้วกว่าที่น้ำมันจากอิหร่านจะกลับเข้าไปซื้อขายในตลาดโลก ได้อย่างเต็มรูปแบบนั้นอาจต้องรอจนกว่าจะถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2016 ก็ตาม


กำลังโหลดความคิดเห็น