เอเจนซีส์ / MGR online - บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่สัญชาติอังกฤษ-ดัตช์อย่าง “เชลล์” ประกาศแผนจ่ายคืนหนี้สินก้อนโตกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ให้แก่รัฐบาลอิหร่าน ทันทีที่มาตรการคว่ำบาตรทั้งปวงต่ออิหร่านถูกยกเลิก
โมฮัมหมัด คาซาเออี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังของอิหร่าน เผยผ่านสื่อท้องถิ่นในวันอาทิตย์ (27 ธ.ค.) ระบุว่า ได้หยิบยกประเด็นเรื่องหนี้สินที่บริษัทเชลล์ติดค้างทางการอิหร่านเป็นจำนวนกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ขึ้นหารือกับคณะผู้แทนของทางกระทรวงการคลังสหราชอาณาจักรที่อยู่ระหว่างการเดินทางเยือนกรุงเตหะรานแล้ว และว่าได้รับการยืนยันถึงแผนการจ่ายคืนหนี้สินก้อนดังกล่าวของบริษัทเชลล์ในอนาคตอันใกล้นี้
“ข้าพเจ้าได้รับการยืนยันว่าหนี้สินของเชลล์ที่ติดค้างต่อรัฐบาลของเราจะถูกชำระคืนโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ทันทีที่บรรดามาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจทั้งปวงของชาติตะวันตกต่ออิหร่านถูกยกเลิกจากผลพวงของการบรรลุข้อตกลงด้านนิวเคลียร์เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังของอิหร่านกล่าว
รายงานข่าวระบุว่า หนี้สินก้อนดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นเงินที่บริษัทเชลล์ค้างชำระ “ค่าน้ำมัน” ที่สั่งซื้อจากรัฐบาลอิหร่าน เนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของโลกตะวันตกที่นำโดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกามีข้อกำหนดห้ามการจ่ายเงินทุกรูปแบบแก่รัฐบาลเตหะราน ซึ่งครอบคลุมการห้ามชำระค่าสินค้าและบริการต่างๆ ที่มีการสั่งซื้อจากอิหร่าน
เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทางบริษัทเชลล์ออกคำแถลงยืนยันว่ามีความพร้อมในการชำระหนี้สินที่มีมูลค่าราว 2 พันล้านดอลลาร์ให้แก่ทางบรรษัทน้ำมันแห่งชาติของอิหร่าน (NIOC) ในทันทีที่มาตรการคว่ำบาตรทั้งปวงต่ออิหร่านถูกยกเลิก และประกาศพร้อมกลับเข้าลงทุนในภาคพลังงานของอิหร่าน ทั้งในแง่ของการพัฒนาแหล่งน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ
แม้จะยังไม่มีการประกาศกำหนดชำระหนี้สินคืนแก่อิหร่านอย่างแน่ชัด แต่แหล่งข่าวทางการทูตในกรุงเตหะรานเผยว่า การชำระหนี้สินที่ทางบริษัทเชลล์ติดค้างต่อรัฐบาลอิหร่านจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2016
อิหร่านและมหาอำนาจทั้ง 6 ชาติ (กลุ่ม P5+1) ซึ่งประกอบไปด้วย 5 ชาติ “สมาชิกถาวร” ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติคือสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และสาธารณรัฐประชาชนจีน บวกกับอีก 1 ประเทศมหาอำนาจจากฝั่งยุโรปอย่างเยอรมนี สามารถบรรลุความตกลงประวัติศาสตร์ทางด้านนิวเคลียร์กันได้เมื่อ 14 ก.ค. ซึ่งถือเป็นการปิดฉากการเจรจาแบบมาราธอนที่ใช้เวลายาวนานกว่า 1 ทศวรรษ และว่ากันว่านี่อาจเป็นข้อตกลงซึ่งน่าจะพลิกโฉมการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลางครั้งใหญ่
หลังการบรรลุข้อตกลงดังกล่าว ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ออกมาแถลงยกย่องว่านี่ถือเป็นก้าวย่างสำคัญไปสู่ “โลกแห่งความหวังที่เพิ่มสูงขึ้น” และตอกย้ำในเวลาต่อมาว่าข้อตกลงประวัติศาสตร์นี้ถือเป็นแนวทางที่ดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางอาวุธนิวเคลียร์และเพิ่มความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลาง
ขณะที่ประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานี ผู้นำสายกลางของอิหร่าน แถลงว่า ความสำเร็จในการบรรลุข้อตกลงด้านนิวเคลียร์ครั้งนี้ถือเป็นข้อพิสูจน์ว่าการมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ได้ผลดียิ่ง และว่าหากการเผชิญหน้ากันอย่างศัตรูระหว่างวอชิงตันกับเตหะรานยังดำเนินอยู่ต่อไป ก็คงไม่มีความเป็นไปได้แม้แต่น้อยที่ข้อตกลงเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอิสราเอลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ประกาศว่า จะเดินหน้าทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางทำลายล้างข้อตกลงอัปยศฉบับนี้ ซึ่งฝ่ายอิสราเอลมองว่าเป็น “การยอมจำนนครั้งประวัติศาสตร์” ของสหรัฐฯ และโลกตะวันตกให้แก่ชาติที่ชั่วร้ายอย่างอิหร่าน
ภายใต้ข้อตกลงนี้ มาตรการลงโทษคว่ำบาตรอิหร่านทั้งของสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป (อียู) และสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่บังคับใช้มายาวนานจะถูกยกเลิกเพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่รัฐบาลเตหะรานยอมตกลงตัดทอนโครงการนิวเคลียร์ของตน ซึ่งสหรัฐฯ และโลกตะวันตกสงสัยมาโดยตลอดว่ามีเป้าหมายในการสร้าง “ระเบิดนิวเคลียร์” ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่เตหะรานยืนกรานปฏิเสธ
นักวิเคราะห์มองว่า การบรรลุข้อตกลงประวัติศาสตร์ครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะสำคัญทั้งสำหรับบารัค โอบามา และฮัสซัน รูฮานี และถือเป็นผลดีต่อการลดทอนความตึงเครียดในเวทีการเมืองระหว่างประเทศที่มีมายาวนาน ถึงแม้ว่าผู้นำทั้งสองต่างต้องเผชิญหน้ากับแรงต่อต้านอย่างหนักหน่วงจากบรรดา “นักการเมืองสายเหยี่ยว” ในประเทศของตนเอง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่นักการเมืองจำนวนมากยังคงมองอิหร่านเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่เป็น “แกนอักษะแห่งปีศาจ”
ด้านสำนักข่าวไออาร์เอ็นเอของทางการอิหร่านรายงานว่า ผลของข้อตกลงนี้จะทำให้อิหร่านได้รับเงินนับหมื่นล้านดอลลาร์ที่ถูกอายัดไว้ รวมถึงหนี้สินที่รัฐบาลและเอกชนประเทศต่างๆ ติดค้างอยู่กลับคืนมา ขณะที่บรรดามาตรการคว่ำบาตรที่มีต่อธนาคารกลาง บริษัทน้ำมันแห่งชาติ บริษัทชิปปิ้ง และสายการบินของอิหร่านจะถูกยกเลิก ถึงแม้มาตรการขององค์การสหประชาชาติในเรื่องการคว่ำบาตรห้ามซื้อขายอาวุธกับอิหร่านจะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปอีก 5 ปี และห้ามอิหร่านจัดซื้อเทคโนโลยีด้านขีปนาวุธอีกนาน 8 ปี
ว่ากันว่าผลประโยชน์ที่อิหร่านจะได้รับจากข้อตกลงคราวนี้อาจสร้างความกังวลต่อชาติพันธมิตรอาหรับของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในกรณีของซาอุดีอาระเบีย ประเทศที่ปกครองโดยมุสลิมนิกายสุหนี่ ที่เชื่อว่าอิหร่านซึ่งเปรียบเหมือนผู้นำของฝ่ายมุสลิมนิกายชีอะห์ ให้การสนับสนุนต่อศัตรูของตนทั้งในสมรภูมิที่ซีเรีย เยเมน และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
อย่างไรก็ดี รัฐบาลอเมริกันมองเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอิหร่านที่มี “ศัตรูร่วมกัน” คือ กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ที่กำลังยึดครองพื้นที่กว้างขวางทั้งในอิรักและซีเรียอยู่ในเวลานี้ และถือเป็น “ภัยคุกคามใหญ่หลวง” ต่อสันติภาพของโลก
ในอีกด้านหนึ่ง การยุติมาตรการคว่ำบาตรทั้งปวงจะช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจอิหร่านเติบโตอย่างรวดเร็วเนื่องจากอิหร่านจะสามารถกลับเข้าสู่ “ตลาดน้ำมัน” ได้อีกครั้ง แม้ในความเป็นจริงแล้วกว่าที่น้ำมันจากอิหร่านจะกลับเข้าไปซื้อขายในตลาดโลกได้อย่างเต็มรูปแบบนั้นอาจต้องรอถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2016 ก็ตาม