เอเจนซีส์ / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ทั้ง 10 ประเทศ ประกาศจุดยืนร่วมกันในการสนับสนุนข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างอิหร่านกับกลุ่มชาติมหาอำนาจ P5+1
รายงานข่าวในวันพฤหัสบดี (6 ส.ค.) ระบุว่า ที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศของกลุ่มอาเซียน รวมถึงประเทศคู่เจรจาทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ได้ออกคำแถลงร่วมที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย ที่มีเนื้อหาแสดงความยินดีต่อการบรรลุข้อตกลงประวัติศาสตร์เมื่อ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมาที่กรุงเวียนนาของออสเตรีย ระหว่างอิหร่านและ 6 ชาติมหาอำนาจ เกี่ยวกับโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของรัฐบาลเตหะราน
คำแถลงร่วมของอาเซียนและประเทศคู่เจรจาระบุว่า ข้อตกลงดังกล่าวจะเป็นหลักประกันถึงการดำเนินโครงการนิวเคลียร์อย่างสันติของอิหร่าน และคาดหวังว่าการบรรลุข้อตกลงนี้จะเป็น “ใบเบิกทาง” สู่การกระชับความสัมพันธ์และการค้าการลงทุนที่แน่นแฟ้นระหว่างอาเซียนและอิหร่านในอนาคต
ความเคลื่อนไหวล่าสุดของกลุ่มประเทศอาเซียนมีขึ้นหลังจากที่กลุ่มชาติมหาอำนาจ P5+1 ซึ่งรวมถึงผู้แทนของรัฐบาลเยอรมนี สามารถบรรลุข้อตกลงขั้นสุดท้ายที่กรุงเวียนนาของออสเตรียเมื่อ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา เกี่ยวกับการพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน
อิหร่านและมหาอำนาจทั้ง 6 ชาติ (กลุ่ม P5+1) ซึ่งประกอบไปด้วย 5 ชาติ “สมาชิกถาวร” ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ คือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และสาธารณรัฐประชาชนจีน บวกกับอีก 1 ประเทศมหาอำนาจจากฝั่งยุโรปอย่างเยอรมนี สามารถบรรลุความตกลงประวัติศาสตร์ทางด้านนิวเคลียร์กันได้เมื่อ 14 ก.ค.ซึ่งถือเป็นการปิดฉากการเจรจาแบบมาราธอนที่ใช้เวลายาวนานกว่า 1 ทศวรรษ และว่ากันว่านี่อาจเป็นข้อตกลงซึ่งน่าจะพลิกโฉมการเมืองและความมั่นคงใน ภูมิภาคตะวันออกกลางครั้งใหญ่
หลังการบรรลุข้อตกลงดังกล่าว ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ออกมาแถลงยกย่องว่านี่ถือเป็นก้าวย่างสำคัญไปสู่ “โลกแห่งความหวังที่เพิ่มสูงขึ้น” และตอกย้ำในเวลาต่อมาว่าข้อตกลงประวัติศาสตร์นี้ถือเป็นแนวทางที่ดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางอาวุธนิวเคลียร์และเพิ่มความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลาง
ขณะที่ประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานี ผู้นำสายกลางของอิหร่าน แถลงว่า ความสำเร็จในการบรรลุข้อตกลงด้านนิวเคลียร์ครั้งนี้ถือเป็นข้อพิสูจน์ว่าการมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ได้ผลดียิ่ง และว่าหากการเผชิญหน้ากันอย่างศัตรูระหว่างวอชิงตันและเตหะรานยังดำเนินอยู่ต่อไปก็คงไม่มีความเป็นไปได้แม้แต่น้อยที่ข้อตกลงเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอิสราเอลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ประกาศว่าจะเดินหน้าทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางทำลายล้างข้อตกลงอัปยศฉบับนี้ ซึ่งอิสราเอลมองเป็น “การยอมจำนนครั้งประวัติศาสตร์” ของสหรัฐฯ และโลกตะวันตก ให้แก่ชาติที่ชั่วร้ายอย่างอิหร่าน
สำหรับในสหรัฐฯ นั้นขั้นตอนต่อจากนี้ไปจะเป็นเรื่องของการนำข้อตกลงนี้เข้าสู่การพิจารณาในสภาคองเกรส ซึ่งโอบามาประกาศว่า พร้อมใช้ “อำนาจวีโต้” ของเขา ลบล้างความพยายามใดก็ตามที่จะมาสกัดกั้นขัดขวางการมีผลบังคับใช้ของข้อตกลง เรื่องโครงการนิวเคลียร์อิหร่านครั้งนี้ พร้อมกล่าวย้ำว่าข้อตกลงนี้เป็นการเสนอโอกาสสำหรับการเคลื่อนไปในทิศทางใหม่ๆ ซึ่งสหรัฐอเมริกาควรคว้าเอาไว้
ภายใต้ข้อตกลงนี้ มาตรการคว่ำบาตรอิหร่านทั้งของสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป (อียู) และสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่บังคับใช้มายาวนานจะถูกยกเลิก เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่รัฐบาลเตหะรานยอมตกลงตัดทอนโครงการนิวเคลียร์ของตน ซึ่งสหรัฐฯ และโลกตะวันตกสงสัยมาโดยตลอดว่ามีเป้าหมายในการสร้าง “ระเบิดนิวเคลียร์” ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่เตหะรานยืนกรานปฏิเสธ
นักวิเคราะห์มองว่า การบรรลุข้อตกลงประวัติศาสตร์ครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะสำคัญทั้งสำหรับบารัค โอบามา และฮัสซัน รูฮานี และถือเป็นผลดีต่อการลดทอนความตึงเครียดในเวทีการเมืองระหว่างประเทศที่มีมายาวนาน ถึงแม้ว่าผู้นำทั้งสองต่างต้องเผชิญหน้ากับแรงต่อต้านอย่างหนักหน่วงจาก บรรดา “นักการเมืองสายเหยี่ยว” ภายในประเทศของตนเอง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่นักการเมืองจำนวนมากยังคงมองอิหร่านเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่เป็น “แกนอักษะแห่งปีศาจ”
ทั้งนี้ สภาคองเกรสของสหรัฐฯ มีเวลา 60 วันในการพิจารณาข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านนี้ โดยหากสมาชิกลงมติโหวตคัดค้าน ประธานาธิบดีโอบามาก็สามารถใช้อำนาจยับยั้งการลงมติดังกล่าวซึ่งหากทางฝ่ายคองเกรสส์ต้องการล้มล้างอำนาจวีโต้ของโอบามา ก็ต้องรวบรวมเสียงให้ได้ 2 ใน 3 และนั่นหมายความว่า สมาชิกพรรคเดโมแครตต้องแปรพักตร์มาร่วมคัดค้านข้อตกลงนี้ด้วย ว่ากันว่าเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นสำคัญยิ่งทางด้านนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลโอบามา ร่วมกับผลงานในการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับคิวบา และการปลิดชีพอุซามะห์ บิน ลาดิน อดีตแกนนำกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์
ด้านสำนักข่าวไออาร์เอ็นเอของทางการอิหร่านรายงานว่า ผลของข้อตกลงนี้จะทำให้อิหร่านได้รับเงินนับหมื่นล้านดอลลาร์ที่ถูกอายัดไว้ กลับคืนมา ขณะที่บรรดามาตรการคว่ำที่มีต่อธนาคารกลาง บริษัทน้ำมันแห่งชาติ บริษัทชิปปิ้ง และสายการบินของอิหร่านจะถูกยกเลิก ถึงแม้มาตรการขององค์การสหประชาชาติ ในเรื่องการคว่ำบาตรห้ามซื้อขายอาวุธกับอิหร่าน จะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปอีก 5 ปี และห้ามอิหร่านจัดซื้อเทคโนโลยีด้านขีปนาวุธอีกนาน 8 ปี
ขณะเดียวกัน ทบวงพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (ไอเออีเอ) องค์กรชำนัญพิเศษในสังกัดยูเอ็น ประกาศว่าได้ร่วมลงนามข้อตกลงกับรัฐบาลเตหะรานในการแก้ไขปัญหาที่ยังค้างคาต่อกัน และจะเปิดเผยรายงานการตรวจสอบภายในวันที่ 15 ธันวาคมปีนี้
ว่ากันว่าผลประโยชน์ที่อิหร่านจะได้รับจากข้อตกลงคราวนี้ อาจสร้างความกังวลต่อชาติพันธมิตรอาหรับของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในกรณีของซาอุดีอาระเบีย ประเทศที่ปกครองโดยมุสลิมนิกายสุหนี่ ที่เชื่อว่าอิหร่านซึ่งเปรียบเหมือนผู้นำของฝ่ายมุสลิมนิกายชีอะห์ให้การสนับสนุนต่อศัตรูของตนทั้งในสมรภูมิที่ซีเรีย เยเมน และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
อย่างไรก็ดี รัฐบาลอเมริกันมองเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอิหร่าน ที่มี “ศัตรูร่วมกัน” คือกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ที่กำลังยึดครองพื้นที่กว้างขวางทั้งในอิรักและซีเรียอยู่ในเวลานี้ และถือเป็น “ภัยคุกคามใหญ่หลวง” ต่อสันติภาพของโลก
ในอีกด้านหนึ่ง การยุติมาตรการคว่ำบาตรทั้งปวงจะส่งเสริมให้เศรษฐกิจอิหร่านเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสามารถกลับเข้าสู่ “ตลาดน้ำมัน” ได้อีกครั้ง แม้ในความเป็นจริงแล้วกว่าที่น้ำมันจากอิหร่านจะกลับเข้าไปซื้อขายในตลาดโลกได้อย่างเต็มรูปแบบนั้นอาจต้องรอถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2016 ก็ตาม