เอเจนซีส์ / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - นางเมดิลีน อัลไบรท์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศหญิงของสหรัฐฯ เผยในวันจันทร์ ( 31 ส.ค.) ผ่านสื่อดัง “ซีเอ็นเอ็น” โดยระบุ การบรรลุข้อตกลงในเรื่องโครงการพัฒนานิวเคลียร์กับรัฐบาลอิหร่านถือเป็นเรื่องที่ดี และเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเหมาะสมแล้วของรัฐบาลประธานาธิบดีบารัค โอบามา
อัลไบรท์ซึ่งเคยรับหน้าที่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯในสมัยรัฐบาลประธานาธิบดีบิล คลินตัน เผยผ่านรายการ “นิว เดย์” ของเครือข่ายสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นระบุว่า การที่รัฐบาลโอบามาสามารถบรรลุข้อตกลงด้านนิวเคลียร์กับอิหร่านได้ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี และเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว โดยอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศหญิงของสหรัฐฯ ชี้ว่า การบรรลุข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์ดังกล่าว ถือเป็นการเปิด “ประตูแห่งโอกาส” ให้รัฐบาลสหรัฐฯสามารถใช้ช่องทางทางการทูตในการแก้ไขข้อพิพาทในเรื่องอื่นๆ กับอิหร่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ดิฉันไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด จึงยังมีนักการเมืองบางส่วนในสภาคองเกรสส์ ที่แสดงจุดยืนคัดค้านข้อตกลงกับอิหร่านอย่างหัวชนฝา ทั้งๆที่พวกเขาไม่เคยอ่านเนื้อหาในข้อตกลงฉบับนี้อย่างจริงจังมาก่อน ทั้งๆที่ข้อตกลงฉบับนี้สามารถการันตีได้ว่า อิหร่านจะไม่มีทางมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองได้เลยไม่ว่าจะในช่องทางใด ดิฉันขอย้ำว่า ข้อตกลงนี้เป็นข้อตกลงที่ดีและจำเป็นได้รับการสนับสนุน”
อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศหญิงของสหรัฐฯ ยังระบุว่า บรรดานักการเมืองสายเหยี่ยว และพวกหัวอนุรักษนิยมในสภาคองเกรสส์ โดยเฉพาะในส่วนของพรรครีพับลิกันนั้นไม่ควรจะเป็นกังวลมากเกินไป และว่าอิหร่านจะไม่มีทางได้รับการผ่อนปรนจากมาตรการคว่ำบาตรต่าง ๆ ถ้าหากบรรดาผู้มีอำนาจในรัฐบาลเตหะราน คิดจะบิดพลิ้วต่อข้อกำหนดในข้อตกลงนิวเคลียร์นี้
ท่าทีล่าสุดของนางเมดิลีน อัลไบรท์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศหญิงของสหรัฐฯ มีขึ้นหลังจากที่รัฐบาลอิหร่านและมหาอำนาจทั้ง 6 ชาติ (กลุ่ม P5+1) ซึ่งประกอบไปด้วย 5 ชาติ “สมาชิกถาวร” ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ คือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และสาธารณรัฐประชาชนจีน บวกกับอีก 1 ประเทศมหาอำนาจจากฝั่งยุโรปอย่างเยอรมนี สามารถบรรลุความตกลงประวัติศาสตร์ทางด้านนิวเคลียร์กันได้เมื่อ14 ก.ค. ซึ่งถือเป็นการปิดฉากการเจรจาแบบมาราธอนที่ใช้เวลายาวนานกว่า 1 ทศวรรษ และว่ากันว่านี่อาจเป็นข้อตกลงซึ่งน่าจะพลิกโฉมการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลางครั้งใหญ่
หลังการบรรลุข้อตกลงดังกล่าว ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ออกมาแถลงยกย่องว่านี่ถือเป็นก้าวย่างสำคัญไปสู่ “โลกแห่งความหวังที่เพิ่มสูงขึ้น” และตอกย้ำในเวลาต่อมาว่า ข้อตกลงประวัติศาสตร์นี้ถือเป็นแนวทางที่ดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางอาวุธนิวเคลียร์และเพิ่มความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลาง
ขณะที่ประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานี ผู้นำสายกลางของอิหร่าน แถลงว่า ความสำเร็จในการบรรลุข้อตกลงด้านนิวเคลียร์ครั้งนี้ถือเป็นข้อพิสูจน์ว่าการมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ได้ผลดียิ่ง และว่าหากการเผชิญหน้ากันอย่างศัตรูระหว่างวอชิงตันและเตหะรานยังดำเนินอยู่ต่อไป ก็คงไม่มีความเป็นไปได้แม้แต่น้อยที่ข้อตกลงเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอิสราเอลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ประกาศว่าจะเดินหน้าทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางทำลายล้างข้อตกลงอัปยศฉบับนี้ซึ่งฝ่ายอิสราเอลมองว่าเป็น “การยอมจำนนครั้งประวัติศาสตร์” ของทางสหรัฐฯและโลกตะวันตกให้กับชาติที่ชั่วร้ายอย่างอิหร่าน
สำหรับในสหรัฐฯนั้น การนำข้อตกลงนี้เข้าสู่การพิจารณาในสภาคองเกรสส์ถือเป็นประเด็นร้อนที่กำลังถูกจับตา ซึ่งโอบามาประกาศว่า พร้อมใช้ “อำนาจวีโต้” ของเขาลบล้างความพยายามใดก็ตาม ที่จะมาสกัดกั้นขัดขวางการมีผลบังคับใช้ของข้อตกลงเรื่องโครงการนิวเคลียร์อิหร่านครั้งนี้ พร้อมกล่าวย้ำว่า ข้อตกลงนี้เป็นการเสนอโอกาสสำหรับการเคลื่อนไปในทิศทางใหม่ๆ ซึ่งสหรัฐอเมริกาควรคว้าเอาไว้
ภายใต้ข้อตกลงนี้ มาตรการลงโทษคว่ำบาตรอิหร่านทั้งของสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป(อียู)และองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่บังคับใช้มายาวนานจะถูกยกเลิก เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่รัฐบาลเตหะรานยอมตกลงตัดทอนโครงการนิวเคลียร์ของตนซึ่งสหรัฐฯ และโลกตะวันตกสงสัยมาโดยตลอดว่า มีเป้าหมายในการสร้าง “ระเบิดนิวเคลียร์” ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่เตหะรานยืนกรานปฏิเสธ
นักวิเคราะห์มองว่า การบรรลุข้อตกลงประวัติศาสตร์ครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะสำคัญทั้งสำหรับบารัค โอบามา และฮัสซัน รูฮานี และถือเป็นผลดีต่อการลดทอนความตึงเครียดในเวทีการเมืองระหว่างประเทศที่มีมายาวนาน ถึงแม้ว่าผู้นำทั้ง 2 ต่างต้องเผชิญหน้ากับแรงต่อต้านอย่างหนักหน่วงจากบรรดา “นักการเมืองสายเหยี่ยว” ภายในประเทศของตนเอง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่นักการเมืองจำนวนมากยังคงมองอิหร่านเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่เป็น “แกนอักษะแห่งปีศาจ”
ทั้งนี้ สภาคองเกรสส์สหรัฐฯ มีเวลา 60 วันในการพิจารณาข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านนี้ โดยหากสมาชิกลงมติโหวตคัดค้าน ประธานาธิบดีโอบามาก็สามารถใช้อำนาจยับยั้งการลงมติดังกล่าว ซึ่งหากทางฝ่ายคองเกรสส์ต้องการล้มล้างอำนาจวีโต้ของโอบามา ก็ต้องรวบรวมเสียงให้ได้ 2 ใน 3 และนั่นหมายความว่า สมาชิกพรรคเดโมแครตต้องแปรพักตร์มาร่วมคัดค้านข้อตกลงนี้ด้วย ซึ่งว่ากันว่าเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นสำคัญยิ่งทางด้านนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลโอบามา ร่วมกับผลงานในการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับคิวบา และการปลิดชีพโอซามา บิน ลาเดน อดีตแกนนำกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์
ด้านสำนักข่าวไออาร์เอ็นเอของทางการอิหร่านรายงานว่า ผลของข้อตกลงนี้ จะทำให้อิหร่านได้รับเงินนับหมื่นล้านดอลลาร์ที่ถูกอายัดไว้กลับคืนมา ขณะที่บรรดามาตรการคว่ำที่มีต่อธนาคารกลาง บริษัทน้ำมันแห่งชาติ บริษัทชิปปิ้ง และสายการบินของอิหร่าน จะถูกยกเลิก ถึงแม้มาตรการขององค์การสหประชาชาติ ในเรื่องการคว่ำบาตรห้ามซื้อขายอาวุธกับอิหร่าน จะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปอีก 5 ปี และห้ามอิหร่านจัดซื้อเทคโนโลยีด้านขีปนาวุธอีกนาน 8 ปี
ขณะเดียวกัน ทบวงพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (ไอเออีเอ) ซึ่งเป็นองค์กรชำนัญพิเศษในสังกัดยูเอ็น ประกาศว่า ได้ร่วมลงนามข้อตกลงกับรัฐบาลเตหะรานในการแก้ไขปัญหาที่ยังค้างคาต่อกัน และจะเปิดเผยรายงานการตรวจสอบภายในวันที่ 15 ธันวาคมปีนี้
ว่ากันว่าผลประโยชน์ที่อิหร่านจะได้รับจากข้อตกลงคราวนี้ อาจสร้างความกังวลต่อชาติพันธมิตรอาหรับของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในกรณีของซาอุดีอาระเบีย ประเทศที่ปกครองโดยมุสลิมนิกายสุหนี่ ที่เชื่อว่า อิหร่านซึ่งเปรียบเหมือนผู้นำของฝ่ายมุสลิมนิกายชีอะต์ ให้การสนับสนุนต่อศัตรูของตนทั้งในสมรภูมิที่ซีเรีย เยเมน และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
อย่างไรก็ดี รัฐบาลอเมริกันมองเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอิหร่านที่มี “ศัตรูร่วมกัน” คือกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ที่กำลังยึดครองพื้นที่กว้างขวางทั้งในอิรักและซีเรียอยู่ในเวลานี้ และถือเป็น “ภัยคุกคามใหญ่หลวง” ต่อสันติภาพของโลก
ในอีกด้านหนึ่ง การยุติมาตรการคว่ำบาตรทั้งปวงจะส่งเสริมให้เศรษฐกิจอิหร่านเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสามารถกลับเข้าสู่ “ตลาดน้ำมัน” ได้อีกครั้ง แม้ในความเป็นจริงแล้วกว่าที่น้ำมันจากอิหร่านจะกลับเข้าไปซื้อขายในตลาดโลกได้อย่างเต็มรูปแบบนั้นอาจต้องรอถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2016 ก็ตาม