ในรอบสัปดาห์นี้ที่ผ่านมา ประเด็นข่าวร้อนฉ่าในต่างประเทศที่ผู้คนทั่วโลกเฝ้าจับตามอง และถูกหยิบยกมาพูดถึงกันมากที่สุดคงหนีไม่พ้นปัญหาวิกฤตหนี้สินของกรีซ และการเจรจาเพื่อหาทางบรรลุข้อตกลงขั้นสุดท้าย ระหว่างชาติมหาอำนาจกลุ่ม P5+1 และอิหร่านในเรื่องโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของรัฐบาลเตหะราน
อย่างไรก็ดี ปัญหาคาราคาซังเรื่องวิกฤตหนี้สิน ตลอดจนอนาคตของกรีซในกลุ่มยูโรโซนนั้น ดูเหมือนว่า ยังคงอยู่ห่างไกลจากคำว่า “สิ้นสุด” และยังต้องอาศัยการเจรจาต่อรองกันอีกหลายยกระหว่างฝ่ายเจ้าหนี้ต่างประเทศ และลูกหนี้ซึ่งมีหนี้สินล้นพ้นตัวจนแทบล้มละลายอย่างกรีซ
ในทางกลับกัน การเจรจาเพื่อหาทางออกเรื่องโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน ที่มีความพยายามแก้ปัญหาด้วยวิถีทางทางการทูตมานานกว่า 1 ทศวรรษ กลับมีบทสรุปที่น่าพึงพอใจ และช่วยสร้างบรรยากาศของความโล่งอกโล่งใจให้แก่ผู้คนทั่วโลก โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่หวาดกลัว “สงครามนิวเคลียร์”
อิหร่านและมหาอำนาจทั้ง 6 ชาติ (กลุ่ม P5+1) ซึ่งประกอบไปด้วย 5 ชาติ “สมาชิกถาวร” ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ คือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และสาธารณรัฐประชาชนจีน บวกกับอีก 1 ประเทศมหาอำนาจจากฝั่งยุโรปอย่างเยอรมนี สามารถบรรลุความตกลงประวัติศาสตร์ทางด้านนิวเคลียร์กันได้เมื่อวันอังคาร (14 ก.ค.) ซึ่งถือเป็นการปิดฉากการเจรจาแบบมาราธอนที่ใช้เวลายาวนานกว่า 1 ทศวรรษ และว่ากันว่านี่อาจเป็นข้อตกลงซึ่งน่าจะพลิกโฉมการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลางครั้งใหญ่
หลังการบรรลุข้อตกลงดังกล่าว ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ออกมาแถลงยกย่องว่านี่ถือเป็นก้าวย่างสำคัญไปสู่ “โลกแห่งความหวังที่เพิ่มสูงขึ้น” และตอกย้ำในเวลาต่อมาว่าข้อตกลงประวัติศาสตร์นี้ถือเป็นแนวทางที่ดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางอาวุธนิวเคลียร์และเพิ่มความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลาง
ขณะที่ประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานี ผู้นำสายกลางของอิหร่าน แถลงว่า ความสำเร็จในการบรรลุข้อตกลงด้านนิวเคลียร์ครั้งนี้ถือเป็นข้อพิสูจน์ว่าการมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ได้ผลดียิ่ง และว่าหากการเผชิญหน้ากันอย่างศัตรูระหว่างวอชิงตันและเตหะรานยังดำเนินอยู่ต่อไป ก็คงไม่มีความเป็นไปได้แม้แต่น้อยที่ข้อตกลงเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอิสราเอลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ประกาศว่าจะเดินหน้าทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางทำลายล้างข้อตกลงอัปยศฉบับนี้ซึ่งฝ่ายอิสราเอลมองว่าเป็น “การยอมจำนนครั้งประวัติศาสตร์” ของสหรัฐฯ และโลกตะวันตก ให้กับชาติที่ชั่วร้ายอย่างอิหร่าน
สำหรับในสหรัฐฯ นั้น ขั้นตอนต่อจากนี้ไป จะเป็นเรื่องของการนำข้อตกลงนี้เข้าสู่การพิจารณาในสภาคองเกรสส์ ซึ่งโอบามาประกาศว่า พร้อมใช้ “อำนาจวีโต้” ของเขา ลบล้างความพยายามใดก็ตามที่จะมาสกัดกั้นขัดขวางการมีผลบังคับใช้ของข้อตกลงเรื่องโครงการนิวเคลียร์อิหร่านครั้งนี้ พร้อมกล่าวย้ำว่า ข้อตกลงนี้เป็นการเสนอโอกาสสำหรับการเคลื่อนไปในทิศทางใหม่ๆ ซึ่งสหรัฐอเมริกาควรคว้าเอาไว้
ภายใต้ข้อตกลงนี้ มาตรการลงโทษคว่ำบาตรอิหร่านทั้งของสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป (อียู) และสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่บังคับใช้มายาวนานจะถูกยกเลิก เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่รัฐบาลเตหะรานยอมตกลงตัดทอนโครงการนิวเคลียร์ของตนซึ่งสหรัฐฯ และโลกตะวันตกสงสัยมาโดยตลอดว่า มีเป้าหมายในการสร้าง “ระเบิดนิวเคลียร์” ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่เตหะรานยืนกรานปฏิเสธ
นักวิเคราะห์มองว่า การบรรลุข้อตกลงประวัติศาสตร์ครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะสำคัญทั้งสำหรับบารัค โอบามา และฮัสซัน รูฮานี และถือเป็นผลดีต่อการลดทอนความตึงเครียดในเวทีการเมืองระหว่างประเทศที่มีมายาวนาน ถึงแม้ว่าผู้นำทั้งสองต่างต้องเผชิญหน้ากับแรงต่อต้านอย่างหนักหน่วงจากบรรดา “นักการเมืองสายเหยี่ยว” ภายในประเทศของตนเอง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่นักการเมืองจำนวนมากยังคงมองอิหร่านเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่เป็น “แกนอักษะแห่งปีศาจ”
ทั้งนี้ สภาคองเกรสส์สหรัฐฯ มีเวลา 60 วันในการพิจารณาข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านนี้ โดยหากสมาชิกลงมติโหวตคัดค้าน ประธานาธิบดีโอบามาก็สามารถใช้อำนาจยับยั้งการลงมติดังกล่าวซึ่งหากทางฝ่ายคองเกรสส์ต้องการล้มล้างอำนาจวีโต้ของโอบามา ก็ต้องรวบรวมเสียงให้ได้ 2 ใน 3 และนั่นหมายความว่า สมาชิกพรรคเดโมแครตต้องแปรพักตร์มาร่วมคัดค้านข้อตกลงนี้ด้วย ซึ่งว่ากันว่าเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นสำคัญยิ่งทางด้านนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลโอบามา ร่วมกับผลงานในการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับคิวบา และการปลิดชีพอุซามะห์ บิน ลา ดิน อดีตแกนนำกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์
ด้านสำนักข่าวไออาร์เอ็นเอของทางการอิหร่านรายงานว่า ผลของข้อตกลงนี้จะทำให้อิหร่านได้รับเงินนับหมื่นล้านดอลลาร์ที่ถูกอายัดไว้กลับคืนมา ขณะที่บรรดามาตรการคว่ำที่มีต่อธนาคารกลาง บริษัทน้ำมันแห่งชาติ บริษัทชิปปิ้ง และสายการบินของอิหร่านจะถูกยกเลิก ถึงแม้มาตรการขององค์การสหประชาชาติในเรื่องการคว่ำบาตรห้ามซื้อขายอาวุธกับอิหร่านจะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปอีก 5 ปี และห้ามอิหร่านจัดซื้อเทคโนโลยีด้านขีปนาวุธอีกนาน 8 ปี
ขณะเดียวกัน ทบวงพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (ไอเออีเอ) ซึ่งเป็นองค์กรชำนัญพิเศษในสังกัดยูเอ็น ประกาศว่า ได้ร่วมลงนามข้อตกลงกับรัฐบาลเตหะรานในการแก้ไขปัญหาที่ยังค้างคาต่อกัน และจะเปิดเผยรายงานการตรวจสอบภายในวันที่ 15 ธันวาคมปีนี้
ว่ากันว่าผลประโยชน์ที่อิหร่านจะได้รับจากข้อตกลงคราวนี้ อาจสร้างความกังวลต่อชาติพันธมิตรอาหรับของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในกรณีของซาอุดีอาระเบีย ประเทศที่ปกครองโดยมุสลิมนิกายสุหนี่ ที่เชื่อว่าอิหร่านซึ่งเปรียบเหมือนผู้นำของฝ่ายมุสลิมนิกายชีอะห์ ให้การสนับสนุนต่อศัตรูของตนทั้งในสมรภูมิที่ซีเรีย เยเมน และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
อย่างไรก็ดี รัฐบาลอเมริกันมองเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอิหร่าน ที่มี “ศัตรูร่วมกัน” คือ กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ที่กำลังยึดครองพื้นที่กว้างขวางทั้งในอิรักและซีเรียอยู่ในเวลานี้ และถือเป็น “ภัยคุกคามใหญ่หลวง” ต่อสันติภาพของโลก
ในอีกด้านหนึ่ง การยุติมาตรการคว่ำบาตรทั้งปวงจะส่งเสริมให้เศรษฐกิจอิหร่านเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสามารถกลับเข้าสู่ “ตลาดน้ำมัน” ได้อีกครั้ง แม้ในความเป็นจริงแล้วกว่าที่น้ำมันจากอิหร่านจะกลับเข้าไปซื้อขายในตลาดโลกได้อย่างเต็มรูปแบบนั้น อาจต้องรอถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2016 ก็ตาม
ดังนั้น คงไม่เป็นการเกินเลยนักหากจะกล่าวว่าความสำเร็จในการบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านคราวนี้ ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี แม้จะดูเป็นประเด็นที่ดูจะ “ไกลตัว” สำหรับคนไทย และเป็นการส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกในเวทีการเมืองของโลก โดยเฉพาะในแง่มุมความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านกับสหรัฐอเมริกาที่ตึงเครียดมายาวนานหลายสิบปี และได้แต่คาดหวังว่า นับจากนี้บรรดาประเทศอื่นๆ ที่ทำตัวเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันจะนำบทเรียนที่ได้จากการบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์ครั้งนี้ไปใช้ โดยเลือกที่จะหันหน้าเข้าหาและร่วมมือกัน ซึ่งน่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการเผชิญหน้ากันแบบเดิมๆ