เอเจนซีส์ /ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - รายงานข่าวล่าสุดชี้ สหภาพยุโรป (อียู) เตรียมประกาศในวันอาทิตย์ (18 ต.ค.) ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจทั้งปวงต่ออิหร่านอย่างเป็นทางการ
รายงานล่าสุดซึ่งอ้างแหล่งข่าวทางการทูตของสำนักข่าวไออาร์เอ็นเอของอิหร่าน ระบุว่า สหภาพยุโรป (อียู) เตรียมประกาศในวันอาทิตย์ (18 ต.ค.) ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทางด้านเศรษฐกิจทั้งปวงต่ออิหร่านอย่างเป็นทางการ โดยที่นางเฟเดริกา โมเกรินี ประธานด้านนโยบายต่างประเทศของอียู และโมฮัมหมัด จาวาด ซาริฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่าน จะร่วมกันออกคำแถลงต่อเรื่องดังกล่าว
ความเคลื่อนไหวล่าสุดมีขึ้นราว 3 เดือนหลังจากที่มีการบรรลุข้อตกลงเรื่องโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่านซึ่งถูกกล่าวหาโดยสหรัฐอเมริกาและโลกตะวันตกมาช้านานว่าแท้จริงแล้วมีจุดประสงค์แอบแฝงเพื่อการสร้าง “อาวุธนิวเคลียร์”
อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวทางการทูตเผยว่า การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจทั้งปวงของอียูต่ออิหร่านจะมีผลสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อทางสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (ไอเออีเอ) ให้การรับรองว่า ทางการอิหร่านได้ปฏิบัติตามพันธสัญญาและเงื่อนไขต่างๆ ที่กำหนดไว้ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าวอย่างครบถ้วนเสียก่อน และคาดว่าอาจต้องรอความคืบหน้าในเรื่องนี้จนถึงปลายปีนี้ กว่าที่การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรเต็มรูปแบบของอียูจะมีผลในทางปฏิบัติ
รายงานข่าวระบุว่า ทันทีที่มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของอียูต่ออิหร่านมีผลอย่างเป็นทางการ ก็จะส่งผลโดยปริยายให้มติที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 7 มติขององค์การสหประชาชาติในการคว่ำบาตรอิหร่านจะถูกยกเลิกโดยอัตโนมัติ และเปิดทางให้นานาชาติสามารถทำการค้าในระดับปกติกับอิหร่านได้ในทันที
ก่อนหน้านี้อิหร่านและมหาอำนาจทั้ง 6 ชาติ (กลุ่ม P5+1) ซึ่งประกอบไปด้วย 5 ชาติ “สมาชิกถาวร” ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ คือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และสาธารณรัฐประชาชนจีน บวกกับอีก 1 มหาอำนาจจากฝั่งยุโรป คือ เยอรมนี สามารถบรรลุความตกลงประวัติศาสตร์ทางด้านนิวเคลียร์กันได้เมื่อวันที่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการปิดฉากการเจรจาแบบมาราธอนที่ใช้เวลายาวนานกว่า 1 ทศวรรษ และว่ากันว่านี่อาจเป็นข้อตกลงซึ่งน่าจะพลิกโฉมการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลางครั้งใหญ่
ภายหลังการบรรลุข้อตกลงดังกล่าว ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ออกมาแถลงยกย่องว่านี่ถือเป็นก้าวย่างสำคัญไปสู่ “โลกแห่งความหวังที่เพิ่มสูงขึ้น” และตอกย้ำในเวลาต่อมาว่าข้อตกลงประวัติศาสตร์นี้ถือเป็นแนวทางที่ดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางอาวุธนิวเคลียร์และเพิ่มความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลาง
ขณะที่ประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานี ผู้นำสายกลางของอิหร่าน แถลงว่า ความสำเร็จในการบรรลุข้อตกลงด้านนิวเคลียร์ครั้งนี้ถือเป็นข้อพิสูจน์ว่าการมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ได้ผลดียิ่ง และว่าหากการเผชิญหน้ากันอย่างศัตรูระหว่างวอชิงตันและเตหะรานยังดำเนินอยู่ต่อไป ก็คงไม่มีความเป็นไปได้แม้แต่น้อยที่ข้อตกลงเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอิสราเอลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีสายเหยี่ยว เบนจามิน เนทันยาฮู ประกาศว่าจะเดินหน้าทำทุกวิถีทาง เพื่อหาทางทำลายล้างข้อตกลงอัปยศฉบับนี้ซึ่งฝ่ายอิสราเอลมองว่าเป็น “การยอมจำนนครั้งประวัติศาสตร์” ของสหรัฐฯ และโลกตะวันตกให้แก่ชาติที่ชั่วร้ายอย่างอิหร่าน
ภายใต้ข้อตกลงนี้ มาตรการลงโทษคว่ำบาตรอิหร่านทั้งของสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป (อียู) และสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่บังคับใช้มายาวนานจะถูกยกเลิก เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่รัฐบาลเตหะรานยอมตกลงตัดทอนโครงการนิวเคลียร์ของตนซึ่งสหรัฐฯ และโลกตะวันตกสงสัยมาโดยตลอดว่า มีเป้าหมายในการสร้าง“ระเบิดนิวเคลียร์”ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่เตหะรานยืนกรานปฏิเสธ
นักวิเคราะห์มองว่า การบรรลุข้อตกลงประวัติศาสตร์ครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะสำคัญทั้งสำหรับบารัค โอบามา และฮัสซัน รูฮานี และถือเป็นผลดีต่อการลดทอนความตึงเครียดในเวทีการเมืองระหว่างประเทศที่มีมายาวนาน ถึงแม้ว่าผู้นำทั้งสองต่างต้องเผชิญหน้ากับแรงต่อต้านอย่างหนักหน่วงจากบรรดา “นักการเมืองสายเหยี่ยว” ภายในประเทศของตนเอง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่นักการเมืองจำนวนมากยังคงมองอิหร่านเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่เป็น “แกนอักษะแห่งปีศาจ”
ผลของข้อตกลงนี้จะทำให้ทางการอิหร่านได้รับเงินนับหมื่นล้านดอลลาร์ ที่ถูกอายัดไว้โดยรัฐบาลของประเทศในโลกตะวันตกกลับคืนมา ขณะที่บรรดามาตรการคว่ำที่มีต่อธนาคารกลาง บริษัทน้ำมันแห่งชาติ บริษัทชิปปิ้ง และสายการบินของอิหร่านจะถูกยกเลิก ถึงแม้มาตรการขององค์การสหประชาชาติในเรื่องการคว่ำบาตรห้ามซื้อขายอาวุธกับอิหร่าน จะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปอีก 5 ปี และห้ามอิหร่านจัดซื้อเทคโนโลยีด้านขีปนาวุธอีกนาน 8 ปี
ว่ากันว่าผลประโยชน์ที่อิหร่านจะได้รับจากข้อตกลงนิวเคลียร์คราวนี้ อาจสร้างความกังวลต่อชาติพันธมิตรอาหรับของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในกรณีของซาอุดีอาระเบีย ประเทศที่ปกครองโดยมุสลิมนิกายสุหนี่ ที่เชื่อว่าอิหร่านซึ่งเปรียบเหมือนผู้นำของฝ่ายมุสลิมนิกายชีอะห์ ให้การสนับสนุนต่อศัตรูของตนทั้งในสมรภูมิที่ซีเรีย เยเมน และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
ในอีกด้านหนึ่ง การยุติมาตรการคว่ำบาตรทั้งปวงจะส่งเสริมให้เศรษฐกิจอิหร่านเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสามารถกลับเข้าสู่ “ตลาดน้ำมัน” ได้อีกครั้ง แม้ในความเป็นจริงแล้วกว่าที่น้ำมันจากอิหร่านจะกลับเข้าไปซื้อขายในตลาดโลกได้อย่างเต็มรูปแบบนั้นอาจต้องรอถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2016 ก็ตาม