xs
xsm
sm
md
lg

ผลวิจัยชี้ “โลกร้อน” มีผลต่อกระแสลม-เที่ยวบินจาก “ยุโรปไปอเมริกาเหนือ” อาจใช้เวลานานขึ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เอเอฟพี - กระแสลมบนที่รุนแรงขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศโลกเปลี่ยนแปลง อาจทำให้เที่ยวบินโดยสารจากยุโรปไปยังอเมริกาเหนือใช้เวลาเดินทางนานขึ้นกว่าเดิม งานวิจัยเผยวันนี้ (10 ก.พ.)

ผลการศึกษาซึ่งเผยแพร่ลงวารสาร Environmental Research Letters ของสถาบันฟิสิกส์ (Institute of Physics) พบว่า สภาพอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลงจะทำให้กระแสลมกรด (Jet Stream) ซึ่งเป็นลมที่พัดในระดับสูงข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกจากฝั่งตะวันตกไปยังฝั่งตะวันออก มีความแรงมากขึ้น

“ข่าวร้ายสำหรับผู้โดยสารเครื่องบิน ก็คือ เที่ยวบินซึ่งมุ่งหน้าไปทางตะวันตกจะต้องเผชิญกระแสลมปะทะรุนแรงขึ้นกว่าเก่า” พอล วิลเลียมส์ หัวหน้าคณะผู้วิจัย และนักวิทยาศาสตร์ด้านบรรยากาศจากมหาวิทยาลัยรีดดิง ระบุในคำแถลง

“แต่ก็มีข่าวดีเช่นกัน เพราะเที่ยวบินที่จะมายังฝั่งตะวันออกของมหาสมุทรแอตแลนติกจะมีแรงลมหนุนมากขึ้น แต่นั่นก็ไม่อาจชดเชยผลกระทบที่เกิดกับเที่ยวบินสู่ฝั่งตะวันตก ซึ่งจะต้องใช้เวลาเดินทางนานกว่าเดิม”

วิลเลียมส์ และทีมนักวิจัยของเขาสร้างแบบจำลองโมเดลสภาพอากาศเพื่อทำนายการผันแปรของกระแสลม และนำมาเปรียบเทียบกับโปรแกรมเส้นทางบิน โดยสมมติค่าความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในชั้นบรรยากาศที่ 560 ppm หรือ 2 เท่าของยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม

ปัจจุบันก๊าซ CO2 ในชั้นบรรยากาศยังมีความเข้มข้นอยู่ที่ประมาณ 400 ppm แต่อาจจะเพิ่มขึ้นไปถึง 560 ppm ภายในศตวรรษนี้ หากแต่ละประเทศไม่ควบคุมปริมาณก๊าซเรือนกระจกด้วยการลดใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล น้ำมัน และก๊าซ

ผลการศึกษาพบว่า กระแสลมกรดที่พัดจากสนามบิน จอห์น เอฟ. เคนเนดี มายังสนามบินฮีทโธรว์ จะเร็วขึ้น 15% ในช่วงฤดูหนาว “ดังนั้น เที่ยวบินจากนิวยอร์กสู่ลอนดอนจึงมีโอกาสเป็น 2 เท่าที่จะใช้เวลาไม่ถึง 5 ชั่วโมงกับอีก 20 นาที และนั่นหมายความว่าการสร้างสถิติใช้เวลาบินน้อยที่สุดจะเกิดบ่อยขึ้นในอนาคต”

“ในทางตรงกันข้าม เที่ยวบินไปนิวยอร์กมีโอกาสเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าที่จะใช้เวลาบินนานกว่า 7 ชั่วโมง ซึ่งก็แปลว่าเครื่องบินมีโอกาสดีเลย์บ่อยขึ้น”

ผลการวิจัยระบุว่า หากตั้งสมมติฐานให้ตลาดการบินโลกไม่มีการขยายตัว ปรากฏการณ์เช่นนี้ก็ยังจะทำให้เครื่องบินโดยสารใช้เวลาเดินทางเพิ่มขึ้นราว 2,000 ชั่วโมงทุกปี ซึ่งหมายถึงน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะต้องใช้เพิ่มขึ้นอีก 7.2 ล้านแกลลอน คิดเป็นมูลค่า 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และยังมีการปลดปล่อยก๊าซ CO2 เพิ่มขึ้นอีก 70 ล้านกิโลกรัม หรือเทียบเท่ากับ CO2 ที่ครัวเรือน 7,100 หลังในอังกฤษผลิตขึ้นในแต่ละปี

“ผลลัพธ์เช่นนี้จะทำให้สายการบินต้องแบกรับภาระค่าเชื้อเพลิงสูงขึ้น จนอาจต้องปรับขึ้นค่าโดยสาร และยังส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อมมากขึ้นด้วย” วิลเลียมส์ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น