รอยเตอร์/เอเอฟพี - เจ้าหน้าที่สาธารณสุขบราซิลยืนยันในวันพฤหัสบดี (4 ก.พ.) ว่าพบกรณีติดเชื้อซิกาผ่านการถ่ายเลือดจากผู้บริจาคที่มีเชื้อไวรัสชนิดนี้ที่กำลังแพร่ระบาดทั่วทวีปอเมริกาอยู่ในตอนนี้ การสืบพบที่กระตุ้นให้องค์การอนามัยโลกออกคำเตือนประเทศต่างๆ งดรับบริจาคเลือดจากบุคคลที่เดินทางเยือนดินแดนที่ได้รับผลกระทบ
หน่วยงานสาธารณสุขของกัมปินาส เมืองอุตสาหกรรมใกล้รัฐเซาเปาลู เปิดเผยว่า ชายคนหนึ่งที่มีบาดแผลถูกยิงกลายเป็นผู้ติดเชื้อซิกา หลังจากได้รับการถ่ายเลือดหลายครั้งในเดือนเมษายน 2015 พร้อมระบุด้วยเหตุนี้เองทำให้สรุปว่าหนึ่งในผู้บริจาคเลือดที่ใช้สำหรับการถ่ายเลือดแก่ชายคนนี้นั้นติดเชื้อไวรัสซิกา
ปกติแล้วซิกาติดต่อโดยมียุงเป็นพาหะ ดังนั้นการติดต่อผ่านการถ่ายเลือดจึงก่อความกังวลเพิ่มเติมในความพยายามจำกัดการแพร่ระบาดของไวรัสชนิดนี้ ส่งผลให้บางประเทศเริ่มเข้มงวดขั้นตอนการรับบริจาคเลือดแล้วเพื่อป้องกันคลังเลือดมีเชื้อซิกา
จนถึงตอนนี้มีรายงานผู้ติดเชื้อซิกาแล้วใน 30 ประเทศ นับตั้งแต่มันปรากฏตัวในทวีปอเมริกาเมื่อปลายปีก่อนในบราซิล ดินแดนที่พบว่าไวรัสชนิดนี้เชื่อมโยงกับภาวะทารกมีศีรษะเล็กผิดปกติและมีพัฒนาการทางสมองไม่เหมาะสม
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขกัมปินาสบอกว่า ผู้บริจาคเลือดปนเปื้อนมีอาการป่วยหลังจากนั้น แต่ตอนนั้นเข้าใจว่าเป็นไข้เลือดออก ขณะที่ผลการตรวจเลือดอย่างสมบูรณ์ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาติดเชื้อไวรัสซิกา เพิ่งทราบเมื่อวันที่ 28 มกราคมที่ผ่านมา
ส่วนศูนย์เลือดของมหาวิทยาลัยกัมปินาสเผยว่ามีบุคคลที่ 2 ที่แสดงอาการขณะบริจาคเลือดในเดือนพฤษภาคมปีก่อน และผลตรวจหาไวรัสซิกาก็ออกมาเป็นบวกเช่นกัน แม้ว่าผู้ได้รับเลือดปนเปื้อนจากเลือดของเขาไปนั้นไม่แสดงอาการของไวรัสใดๆ
กระทรวงสาธารณสุขบราซิลระบุว่า ผู้รับเลือดติดเชื้อรายแรกเสียชีวิตจากบาดแผลและไม่ใช่เป็นเพราะซิกา พร้อมเผยว่าได้ออกคำสั่งกำชับไปยังเหล่าธนาคารเลือดว่าบุุคคลที่ติดเชื้อซิกาหรือไข้เลือดออกไม่ได้รับอนุญาตให้บริจาคเลือดในช่วงเวลา 30 วันหลังจากฟื้นไข้อย่างสมบูรณ์
เมื่อวันอังคาร (2 ก.พ.) กาชาดอเมริกาเรียกร้องผู้บริจาคที่เคยเดินทางไปเยือนพื้นที่แพร่ระบาดของซิกาให้รออย่างน้อย 28 วันก่อนให้เลือด แต่ยืนยันว่าความเสี่ยงติดเชื้อไวรัสผ่านการบริจาคเลือดอยู่ในระดับต่ำอย่างมากในสหรัฐฯ กระนั้นก็ร้องขอผู้บริจาคให้แจ้งกาชาดทันทีหากมีอาการป่วยคล้ายกับซิกาภายใน 14 วัน เพื่อจะได้ดำเนินการกักกันโรค
การตรวจพบล่าสุดนี้ก่อความกังวลเพิ่มเติม หลังจากก่อนหน้านี้ก็เพิ่งพบความเป็นไปได้ที่ไวรัสซิกาจะติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในเทกซัสรายงานเมื่อวันอังคาร (2 ก.พ.) ว่าพบบุคคลคนหนึ่งในดัลลัสที่ติดเชื้อหลังมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่เคยเดินทางไปยังเวเนซุเอลา ดินแดนที่ไวรัสชนิดนี้กำลังระบาดอยู่
คำยืนยันของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขบราซิลสอดคล้องกับความเคลื่อนไหวขององค์การอนามัยโลก ที่ในวันพฤหัสบดี (4 ก.พ.) ออกคำแนะนำแก่ประเทศต่างๆ ให้งดรับบริจาคเลือดจากบุคคลที่เดินทางไปยังภูมิภาคต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสซิกา
“ด้วยความเสี่ยงจะมีผู้ติดเชื้อไวรัสซิการายใหม่ในหลายประเทศ และความเป็นไปได้ที่การติดเชื้อไวรัสซิกาจะเชื่อมโยงกับภาวะทารกมีศีรษะเล็กผิดปกติและมีพัฒนาการทางสมองไม่เหมาะสม ประเทศต่างๆ ควรใช้มาตรการป้องกันไว้ก่อนสำหรับยืดเวลาของผู้บริจาคที่เพิ่งเดินทางกลับจากพื้นที่ที่มีการระบาดของซิกาออกไป” องค์การอนามัยโลกระบุในถ้อยแถลง
แคนาดา และอังกฤษ เป็น 2 ชาติลำดับต้นๆ ที่เคลื่อนไหวป้องกันคลังสำรองเลือดปนเปื้อน โดยหน่วยงานเลือดของแคนาดาบอกเมื่อวันพุธ (3 ก.พ.) ว่าใครก็ตามที่เดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยงติดไวรัสซิกาจะถูกห้ามบริจาคเลือดเป็นเวลา 3 สัปดาห์ นับจากที่เดินทางกลับมา
ในอังกฤษ สำนักงานสุขภาพแห่งชาติ (NHSBT) ระบุว่า ตั้งแต่วันพฤหัสบดี (4 ก.พ.) บุคคลที่เดินทางกลับจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสซิกาต้องรอจนครบ 28 วันถึงจะได้รับอนุญาตให้บริจาคเลือด ส่วนหนึ่งในมาตรการป้องกันไว้ก่อน
ไวรัสซิกาที่มียุงเป็นพาหะกำลังแพร่ระบาดใน 26 ประเทศ ในอเมริกาใต้ อเมริกากลางและแถบแคริบเบียน แม้มันไม่เป็นอันตรายต่อคนทั่วไป แต่พบหลักฐานว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับภาวะทารกมีศีรษะเล็กผิดปกติและมีพัฒนาการทางสมองไม่เหมาะสมตั้งแต่กำเนิด ซึ่งจะนำไปสู่การพิการอย่างถาวรหรือถึงขั้นเสียชีวิต
โดยเฉพาะที่บราซิล ประเทศที่ถูกไวรัสซิกาโจมตีรุนแรงที่สุด พบทารกศีรษะเล็กผิดปกติซึ่งสงสัยว่าเชื่อมโยงกับไวรัสซิกาแล้วกว่า 3,700 คน ขณะที่อาการของผู้ป่วยซิกา ได้แก่ มีอาการไข้ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ ตาแดง บางรายอาจมีผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปผู้ติดเชื้อ 70-80% จะไม่แสดงอาการ ทำให้โอกาสแพร่กระจายสูงขึ้น
ล่าสุดมีรายงานพบกรณีผู้ติดเชื้อซิกาในยุโรปเพิ่มเติม โดยทางกระทรวงสาธารณสุขสเปนเผยว่าสตรีตั้งครรภ์รายหนึ่งที่เดินทางกลับจากโคลอมเบียได้รับการวินิจฉัยโรคว่าติดเชื้อไวรัสชนิดนี้
“หนึ่งในคนไข้ที่ได้รับการวินิจฉัยในแคว้นคาตาโลเนียคือสตรีตั้งครรภ์รายหนึ่ง ซึ่งแสดงอาการหลังเคยเดินทางไปยังโคลอมเบีย” กระทรวงสาธารณสุขสเปนแถลง พร้อมระบุว่าเธอเป็นหนึ่งใน 7 ผู้ติดเชื้อในสเปน