รอยเตอร์ - ผู้หญิงและเด็กสาวในสหรัฐฯ กว่า 500,000 คนเสี่ยงที่จะถูก “ขลิบอวัยวะเพศ” ซึ่งเป็นแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น 3 เท่าตัวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากประชากรของประเทศซึ่งยึดถือธรรมเนียมขลิบปุ่มกระสันได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในอเมริกาเพิ่มขึ้น งานวิจัยของรัฐบาลที่เผยแพร่วานนี้ (14 ม.ค.) ระบุ
ผลการศึกษาโดยสำนักงานควบคุมและป้องกันโรคติดต่อ (CDC) พบว่า จำนวนผู้หญิงและเด็กสาวที่ผ่านการขลิบอวัยวะเพศแล้วยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด เนื่องจากขาดข้อมูลที่เชื่อถือได้ แต่ทางศูนย์ประเมินว่ามีสตรีและเด็กสาวประมาณ 513,000 คนอยู่ใน “กลุ่มเสี่ยง” เนื่องจากเกิด หรือมีบิดามารดาที่เกิดในประเทศซึ่งยังยึดถือธรรมเนียมตัดปุ่มกระสันเพศหญิง
การขลิบอวัยวะเพศหญิงเป็นธรรมเนียมที่ยังยึดถือปฏิบัติในประเทศแถบแอฟริกา เอเชียใต้ และตะวันออกกลาง ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ประเมินว่ามีผู้หญิงราว 140 ล้านคนที่ผ่านขั้นตอนดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ได้ประกาศให้ธรรมเนียมเช่นนี้เป็นสิ่งผิดกฎหมายมานานถึง 20 ปีแล้ว
“ผลวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดเฉพาะในดินแดนห่างไกล แต่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐฯ เอง” เชลบี ควอสต์ ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคอเมริกาของกลุ่ม Equality Now ซึ่งเป็นองค์กรที่รณรงค์ต่อต้านการตัดและขลิบอวัยวะเพศหญิง ระบุ
“เด็กหญิงกลุ่มนี้ก็เป็นชาวอเมริกันเหมือนคนอื่นๆ แต่พวกเธอกลับต้องตกเป็นทาสธรรมเนียมที่จะเปลี่ยนชีวิตไปอย่างสิ้นเชิง”
ซีดีซีพบว่า ความเสี่ยงถูกขลิบอวัยวะเพศในกลุ่มวัยรุ่นหญิงอายุต่ำกว่า 18 ปีนั้นเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าตัว
ประเพณีเก่าแก่ซึ่งมักทำกันอย่างลับๆ นอกจากจะถูกประณามว่าเป็นการล่วงละเมิดสิทธิสตรีอย่างรุนแรงแล้ว ยังก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาหลายอย่าง
งานวิจัยพบว่า ผู้หญิงและเด็กสาวอเมริกันซึ่งเกิดในครอบครัวที่มีพื้นเพเป็นชาวอียิปต์ เอธิโอเปีย และโซมาเลีย จัดอยู่ในข่ายเสี่ยงมากที่สุด
“แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นมีปัจจัยสำคัญจากจำนวนผู้อพยพซึ่งมาจากประเทศที่ยังคงยึดถือธรรมเนียมขลิบอวัยวะเพศหญิง เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา” ผลการศึกษาซึ่งตีพิมพ์ลงวารสารออนไลน์ Public Health Reports ประจำเดือน มี.ค.-เม.ย.ระบุ
ซีดีซีระบุว่า มีผู้หญิงและเด็กสาวราว 513,000 คนอยู่ในกลุ่มเสี่ยงถูกขลิบอวัยวะเพศเมื่อปี 2012 เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัวจากสถิติ 168,000 คนในปี 1990
ผู้อพยพบางคนส่งลูกสาวกลับไปบ้านเกิดเพื่อรับการ “ขลิบ” โดยเฉพาะ ซึ่งการกระทำเช่นนี้ก็ถือว่าผิดกฎหมายสหรัฐฯ เช่นกัน