รอยเตอร์ - เอ็นริเก มาร์เกวซ อดีตเพื่อนบ้านซึ่งเป็นผู้จัดหาปืนให้แก่สองผัวเมียมุสลิมที่กราดยิงคนตาย 14 ศพในเมืองซานเบอร์นาดิโน รัฐแคลิฟอร์เนีย ถูกนำตัวไปขึ้นศาลเมื่อวานนี้ (17 ธ.ค.) ด้วยข้อหาสบคบคิดก่อการร้าย
มาร์เกวซ วัย 24 ปี เป็นเพื่อนของซายเอ็ด ริซวาน ฟารุก ซึ่งร่วมกับภรรยา ตัชฟีน มาลิก ก่อเหตุสังหารหมู่กลางงานปาร์ตีในศูนย์พัฒนาผู้พิการ เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.
เขายอมรับกับพนักงานสอบสวนว่า เคยพุดคุยกับฟารุกเพื่อวางแผนก่อวินาศกรรมมาแล้วก่อนหน้านี้
ไอลีน เดกเกอร์ อัยการสหรัฐฯ ระบุว่า ชายทั้งสองเคยวางแผนก่อการร้ายที่มุ่งหมายเอาชีวิตคนจำนวนมากๆ โดยเล็งเป้าหมายไว้หลายจุด เช่น วิทยาลัยชุมชนในแคลิฟอร์เนีย รวมถึงเส้นทางหลวงในช่วงที่การจราจรคับคั่ง
“แม้แผนการเหล่านี้จะไม่ถูกนำไปปฏิบัติจริง แต่พฤติกรรมของคุณมาร์เกวซที่เข้าข่ายอาชญากรรมก็ส่งผลมาถึงเหตุการณ์ที่เมืองซานเบอร์นาดิโน... รวมถึงสหรัฐอเมริกาทั้งประเทศ เพราะปืนที่เขาซื้อถูกนำไปใช้สังหารผู้บริสุทธิ์ถึง 14 ราย และยังทำร้ายคนอีกมาก” เดกเกอร์ ระบุในคำแถลงเป็นลายลักษณ์อักษร
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ยังไม่พบหลักฐานยืนยันว่า มาร์เกวซ มีส่วนพัวพันกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. หรือล่วงรู้แผนการล่วงหน้า
มาร์เกวซ ซึ่งสวมเสื้อทีเชิตสีเบจและใส่กุญแจมือ ถูกนำตัวไปที่ศาลรัฐบาลกลางเมืองริเวอร์ไซด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อวานนี้ (17) โดยเจ้าตัวไม่ได้ยื่นคำร้องขอแก้ต่าง
ศาลจะพิจารณาเรื่องการให้ประกันตัว มาร์เกวซ ในวันที่ 21 ธ.ค. และจะมีการไต่สวนเบื้องต้นอีกครั้งในวันที่ 4 ม.ค.ปีหน้า
มาร์เกวซ อาจต้องโทษจำคุกสูงสุด 35 ปี หากศาลตัดสินว่ามีความผิดจริงตามที่ถูกยื่นฟ้อง 3 กระทง
บันทึกคำให้การของสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) ระบุว่า มาร์เกวซ กับ ฟารุก เริ่มรู้จักกันในฐานะเพื่อนบ้านที่เมืองริเวอร์ไซด์ เมื่อปี 2005 ต่อมา ฟารุก ได้แนะนำเพื่อนใหม่ของเขาให้รู้จักแนวคิดอิสลามแบบสุดโต่ง จนกระทั่งช่วงปี 2011 มาร์เกวซ ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ขลุกอยู่แต่ในบ้านของ ฟารุก เพื่อฟังบรรยาย หรือดูคลิปวีดีโอของกลุ่มอิสลามิสต์
ในช่วงนี้เองที่ ฟารุก และ มาร์เกวซ เริ่มคิดที่จะออกไปกราดยิงหรือใช้ระเบิดโจมตีผู้คน โดยเป้าหมายของพวกเขายังรวมถึงห้องสมุดและโรงอาหารของวิทยาลัยชุมชนริเวอร์ไซด์ ซึ่งทั้งคู่เคยเป็นนักศึกษาอยู่ด้วย
เขาและ ฟารุก ยังเคยวางแผนใช้ “ระเบิดท่อ” สังหารผู้คนบนทางหลวงหมายเลข 91 ในช่วงบ่ายที่การจราจรพลุกพล่าน และจะดักยิงตำรวจหรือหน่วยกู้ภัยที่เดินทางไปถึงจุดเกิดเหตุ
อัยการระบุว่า ทั้งคู่ได้ตระเตรียมซื้อปืน เครื่องกระสุน และเสื้อเกราะไว้สำหรับก่อเหตุสังหารหมู่ โดย มาร์เกวซ ตกลงที่จะเป็นคนไปซื้ออาวุธ “เพราะรูปร่างหน้าตาเป็นฝรั่งผิวขาว (Caucasian)” ในขณะที่ ฟารุก ซึ่งเป็นบุตรของผู้อพยพชาวปากีสถานในอเมริกา “ดูคล้ายชาวตะวันออกกลาง” ซึ่งจะทำให้เป็นที่สงสัย
มาร์เกวซ ซื้อปืนไรเฟิล สมิธ แอนด์ เวสสัน M&P-15 เมื่อเดือน พ.ย. ปี 2011 จากนั้นก็ซื้อปืนไรเฟิล DPMS รุ่น A-15 มาอีก 1 กระบอกในเดือน ก.พ. ปี 2012 ซึ่งปืนทั้ง 2 รุ่นมีราคาจำหน่ายประมาณกระบอกละ 750 ดอลลาร์สหรัฐ
เขายังเป็นคนไปซื้อวัตถุระเบิด โดยเฉพาะดินปืนแบบไร้กลิ่น “เพื่อนำมาผลิตระเบิดที่จะใช้ในการสังหารหมู่” บันทึกคำให้การระบุ
ช่วงต้นปี 2012 มาร์เกวซ และ ฟารุก ได้ตระเวนฝึกปรือตามสนามยิงปืนต่างๆ ทั่วรัฐแคลิฟอร์เนีย แต่หลังจากนั้น มาร์เกวซ ก็เริ่มออกห่างจากเพื่อนของเขา และไม่ได้ร่วมวางแผนก่อเหตุร้ายอีกต่อไป
เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ฟารุกได้ไปร่วมงานสังสรรค์ของเจ้าหน้าที่สำนักงานอนามัยสิ่งแวดล้อม และวางถุงบรรจุระเบิดท่อเอาไว้บนโต๊ะตัวหนึ่งก่อนที่จะเดินออกไป และพาภรรยากลับมากราดยิงเพื่อนร่วมงาน
ระเบิดที่ฟารุกทิ้งไว้ไม่ได้ทำงานอย่างที่คาด ทว่าตำรวจไปพบรีโมตคอนโทรลสำหรับจุดชนวนระเบิดอยู่ภายในรถของสองผัวเมียหลังจากที่ทั้งคู่ถูกวิสามัญฯ แล้ว
มาร์เกวซ ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า ฟารุก เรียนรู้วิธีผลิตระเบิดจากนิตยสาร “อินสไปร์” ซึ่งเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ของเครือข่ายอัลกออิดะห์ในคาบสมุทรอาระเบีย (AQAP)
หลังเหตุกราดยิงผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง มาร์เกวซซึ่งอยู่ในภาวะเครียดจัดได้โทร.แจ้ง 911 เพื่อบอกตำรวจว่าอยากฆ่าตัวตาย และยอมรับว่าฟารุกใช้อาวุธปืนที่เขาเป็นคนไปซื้อมาเอง
“ตำรวจไปตรวจสอบได้เลยว่าปืนทั้งหมดมาจากผม” มาร์เกวซบอกกับเจ้าหน้าที่ผู้รับโทรศัพท์ในวันนั้น
มาร์เกวซยังถูกตั้งข้อหาหลอกลวงเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง โดยทำการสมรสปลอมกับ มารียา เชอร์นีก หญิงชาวรัสเซียซึ่งเป็นน้องสาวของพี่สะใภ้ ฟารุก เมื่อปี 2014 เพื่อให้เธอสามารถเดินทางเข้ามาพำนักในสหรัฐฯ ได้
เพื่อนบ้านของเขาต่างมีท่าทีประหลาดใจเมื่อทราบว่ามาร์เกวซแต่งงานแล้ว โดยยืนยันว่าไม่เคยเห็นหน้าภรรยาของเขามาก่อน
อัยการระบุว่ามาร์เกวซได้รับเงินค่าจ้าง 200 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน สำหรับการแสดงบทบาทสามีกำมะลอ