xs
xsm
sm
md
lg

LIFE : จากมุสลิมถึงอเมริกาที่รัก ความพยายามจะจุดไฟเผาอัลกุรอานแบบโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ใช่คำตอบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการออนไลน์ - หลังจากเกิดเหตุก่อการร้ายซานเบอร์นาดิโน และที่กรุงปารีสก่อนหน้านั้น ทำให้อเมริกาหวั่นไหวอย่างรุนแรงและตามมาด้วยการอุดรูรั่วอย่างหนัก ซึ่งฮารูน ม็อกฮุล (Haroon Moghul) จากสื่อสหรัฐฯ QUARTZ ได้เขียนบทความชิ้นสำคัญที่ดุเดือดแต่แฝงไว้ไปด้วยอารมณ์ขันอย่างเจ็บปวด “Dear Americans trying to torch Qurans: You’re doing it wrong” ชี้ว่า การแบนมุสลิมด้วยวิธีต่างๆ ไม่ใช่คำตอบ คล้ายกับการเผาคัมภีร์อัลกุรอานของอเมริกาด้วยนโยบายแบนมุสลิมของ โดนัลด์ ทรัมป์ เต็งหนึ่งในสนามเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2016 จากพรรครีพับลิกันประกาศจะใช้

สหรัฐอเมริกา ประเทศผู้นำโลกเสรีหาทางป้องกันอย่างเร่งด่วนเพื่ออุดรูรั่วไม่ว่าจะเป็นการเข้าเมืองด้วยวีซ่าคู่หมั้น K1 ซึ่งเป็นช่องทางที่ตัชฟีน มาลิก 1 ใน 2 ของมือยิงซานเบอร์นาดิโนใช้ หลังเกิดเหตุก่อการร้ายซานเบอร์นาดิโน

และในเหตุการณ์กราดยิงนี้ทำให้วอชิงตัน สภาคองเกรสรวมไปถึงผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ว่าจากพรรคเดโมแครต หรือพรรครีพับลิกันได้ออกมาส่งเสียงในเรื่องการอุดรูรั่ว โดยเฉพาะผู้นำสหรัฐฯ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ได้ออกแถลงการณ์ไม่กี่วันหลังเกิดเหตุก่อการร้ายในรัฐแคลิฟอร์เนียที่มีผู้เสียชีวิตถึง 14 ศพจากฝีมือของซายเอ็ด ฟารุก พลเมืองสหรัฐฯ และตัชฟีน มาลิก ชาวปากีสถานว่า “ชุมชนมุสลิมในอเมริกาต้องประกาศให้โลกรับรู้ว่า ไม่ร่วมมือกับก่อการร้าย”

และทำให้ ฮารูน ม็อกฮุล (Haroon Moghul) จากสื่อสหรัฐฯ QUARTZ ผู้เป็นชาวมุสลิมโดยกำเนิดผู้ซึ่งเขียนบทความชิ้นสำคัญที่ดุเดือดแต่แฝงไว้ไปด้วยอารมณ์ขันอย่างเจ็บปวด “Dear Americans trying to torch Qurans: You’re doing it wrong” ถึงปฎิกริยาในเรื่องนี้

เพราะในฐานะของม็อกฮุลที่เป็นชาวมุสลิม และอีกทั้งยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการศาสนาและการต่างประเทศ ได้สะท้อนภาพว่า คำตอบของปัญหาที่อเมริกากำลังเผชิญนั้นไม่ใช่สิ่งที่ชาวอเมริกันจะสามารถแก้ไขได้ด้วยการแค่จุดไฟเผาคัมภีร์อัลกุรอาน

โดยในบทความ ม็อกฮุลได้เอ่ยถึง “The Quran Roast of DC” การจัดงานอีเวนต์ที่มีเอ็ดดี สไปเกอร์ (Eddie Spiker) และแบรนดี ซีกรุ๊ฟ (Brandie Seagrove) เป็นโต้โผหลัก

แต่ทว่าท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวกลางฤดูหนาวในกรุงวอชิวตัน ดีซี สุดแปลกประหลาดนั้น งาน The Quran Roast of DC ตามชื่อของงานที่บังเอิญพ้องกับสภาพอากาศอย่างช่วยไม่ได้ กลับไม่มีจุดประสงค์ต้องการให้ใครก็ตามออกมาต่อต้านมุสลิม หรือศาสนาอิสลาม ในเชิงสัญลักษณ์อย่างที่เคยเป็น เป็นต้นว่า จุดคบไฟเผาคัมภีร์อัลกุรอานเพื่อบูชายันต์ ซึ่งคล้ายกับว่าเป็นสิ่งเดียวที่ชาวอเมริกันจะแสวงหาได้ในทางออกเพื่อต่อต้าน

เพราะเมื่อย้อนไปไม่ไกลในอดีตพบว่า การเผาคัมภีร์เป็นสิ่งที่เคยกระทำมา การเผาเพื่อประกาศความเกลียดชังต่อโลก การแสดงความกล้าหาญด้วยการเปิดเผยตัวตนต่อสาธารณะให้โลกรับรู้ เกิดขึ้นโดยผู้นำโบสถ์ Dove World Outreach Center ในรัฐฟลอริดา เทอร์รี โจนส์ (Terry Jones) ที่ได้ทำการประท้วงด้วยการ “จุดไฟเผา” และเป็นปีเดียวกันกับที่โจนส์ออกหนังสือ “Islam is of the Devil”

กระนั้นในอีเวนต์ของทั้งสไปเกอร์และซีกรุ๊ฟที่มีการจัดงานในวันอาทิตย์ (13) กลับราบเรียบและจืดชืดเหมือนอย่างที่ซีกรุ๊ฟได้กล่าวตัดพ้อบนเฟสบุ๊กอย่างมีอารมณ์ขันว่า “ไม่มีการเผาอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์อัลกุรอาน หรือธงสาธารณรัฐอิสลาม IS ในพื้นที่ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่มีโทษปรับสำหรับผู้กระทำผิดสูงถึง 25,000 ดอลลาร์ และแถมยังโดนทั้งโทษจำคุกสูงสุดถึง 5 ปีในเรือนจำของรัฐบาลกลางอเมริกา”

และหลังจากนั้นเฟซบุ๊กงานอีเวนต์นี้ได้ถูกปิดตัวลงอย่างเงียบๆ จากฝีมือของผู้ก่อตั้ง ซึ่งม็อกฮุลได้กล่าวอย่างติดตลกว่า ในฐานะที่ได้รับฉันทานุมัติเป็นตัวแทนมุสลิมในอเมริกา ที่ทางผู้เขียนขออนุญาตแต่งตั้งตัวเอง เพื่อประกาศว่า “อยากจะให้พวกคุณเผาคัมภีร์นี้จริงๆ”

และม็อกฮุลได้ยืนยันอย่างหนักแน่นในคำประกาศิตนี้ว่า ไม่ใช่เพราะเขาเชื่อมั่นในเสรีภาพในการออกความเห็นที่รับประกันโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญสหรัฐฯเท่านั้น แต่เป็นเพราะจากความทรงจำในอดีตที่พบว่า “ผู้คนเผาคัมภีร์อัลกุรอานไม่ใช่เพราะความรู้สึกเกลียด แต่เป็นการยืนยันความเคารพอย่างสูงสุด”

ซึ่งเป็นเรื่องตลกสำหรับม็อกฮุล นักการศาสนา เพราะเมื่อครั้งวัยเยาว์ และต้องเข้าเรียนวิชาศาสนาอันเป็นหน้าที่ของชาวมุสลิมที่พึงกระทำ โดยความทรงจำการเผาคัมภีร์นั้นจารึกอยู่ในความทรงจำนานกว่า 30 ปี ซึ่งม็อกฮุลจดจำได้ว่า สถานที่สุดท้ายที่คัมภีร์ถูกเผา นั้นกลับอยู่ในมัสยิด!

แต่เป็นเพราะเขาจำเป็นต้องเรียนภาษาอารบิกแต่ไม่ได้ใช่ชาวอารบิก (ยิ้ม) จึงเป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัยเมื่อพบว่าการอ่านออกเสียงของเด็กชายม็อกฮุลจะผิดเพี้ยน แต่กระนั้นเรื่องเช่นนี้สามารถได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็วจากศาสนาจารย์ที่จดจำทุกถ้อยความของพระอัลลาห์ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างขึ้นใจ และสืบพบว่าเด็กชายม็อกฮุลใช้คัมภีร์ที่มีการผิดพลาดทางการพิมพ์เกิดขึ้น

เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ และเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย ท่ามกลางความอัศจรรย์อย่างที่สุด ที่นักการศาสนาผู้เคร่งครัดทำการเคารพคัมภีรอัลกุรอานด้วยหัวใจ และผ่านการกระทำโดยการจุดไฟเผา

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดที่การใช้ “ไฟ” เพื่อแสดงการสักการะต่อคำพูดของพระอัลเลาะห์ แต่กลับตรงกับการแสดงความเกลียดชังและต่อต้านต่อสิ่งเดียวกันโดยใช้การกระทำแบบเดียวกัน และยังแสดงให้เห็นว่าเป็นการกระทำที่ผิดพลาดหากต้องการส่งสัญญาณความเกลียดเพื่อแก้ปัญหา เหมือนกับที่ โดนัล ทรัมป์ นักการเมืองฝีปากกล้าผู้มากไปด้วย “energy” หรือบางทีอาจเป็น EGO ทำการเสนอนโยบายห้ามมุสลิมเข้าประเทศ และล่าสุดกระทบต่อคะแนนความนิยมในรัฐไอโอวา แพ้ สว.รัฐเทกซัส เท็ด ครูซ ที่มีคะแนนนำทรัมป์ไปถึง 10%

และในผลโพลล่าสุดของสื่อวอชิงตันโพสต์และ ABC News จากการรายงานของสื่อสหรัฐฯ Stars and Stripes ในวันจันทร์ (14) พบว่า นโยบายต้านมุสลิมของทรัมป์ มีชาวอเมริกันถึง 60% ไม่เห็นด้วย

และดังนั้นจึงชี้ได้ว่า การเผาคัมภีร์อัลกุรอานเพื่อการต่อต้านมุสลิมเชิงสัญลักษณ์ หรือการใช้นโยบายต้านมุสลิมตามแบบฉบับทรัมป์นั้น ***ยังไม่ใช่คำตอบสำหรับอเมริกา***



กำลังโหลดความคิดเห็น