xs
xsm
sm
md
lg

ทูตไทยในอเมริกาเขียนตอบนิวยอร์กไทม์ส “เศรษฐกิจไทยเข้มแข็งท่ามกลางความอ่อนแอเศรษฐกิจโลก” ปัดข้อกล่าวหารบ.ทหารทำลายเศรษฐกิจ-ป้องแต่ม.112

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เอเจนซีส์ – หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สตีพิมพ์จดหมายตอบกลับจากเอกอัคราชทูตไทยประจำสหรัฐฯ พิศาล มาณวพัฒน์ ถึงบทความของโธมัส ฟูลเลอร์(Thomas Fuller)ภายใต้ชื่อเรื่อง Thai Economy and Spirits Are Sagging ในเดือนที่ผ่านมา ซึ่งทูตพิศาลได้ชี้แจงว่า เนื้อหาในบทความชิ้นนี้ไม่สะท้อนความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในประเทศไทยที่กล่าวหาว่า เศรษฐกิจไทยและคนไทยกำลังเปลี้ยหนัก แต่รัฐบาลทหารภายใต้การบริหารของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชากลับทำให้ประชาชนตกอยู่แต่ในความกลัวทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และการเซ็นเซอร์

หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส วานนี้(7) ได้ตีพิมพ์จดหมายจากเอกอัคราชทูตไทยประจำสหรัฐฯ พิศาล มาณวพัฒน์ ภายใต้หัวข้อ Thailand’s Economy: The Ambassador’s View ซึ่งทูตไทยประจำสหรัฐฯได้กล่าวชี้แจงถึงประเด็นที่ โธมัส ฟูลเลอร์ คอลัมนิสต์นิวยอร์กไทม์สตั้งข้อสงสัยถึง การบริหารงานของรัฐบาลทหารภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาว่า รู้หรือไม่ในเวลานี้เศรษฐกิจและสภาวะจิตใจของคนไทยกำลังดิ่งเหว

ทั้งนี้เนื้อความในจดหมายของทูตพิศาลได้ตอบโต่ว่า บทความ “Thai Economy Is Sagging, and So Are Thai Spirits” (Memo From Thailand)ที่ลงในวันที่ 30 พฤศจิกายนนั้นไม่มีความจริงเข้ามาเกี่ยวข้อง และทั้งยังขัดแย้งต่อสภาวะความเป็นจริงทางด้านเศรษฐกิจของไทยอย่างร้ายกาจ

ทูตพิศาลกล่าวต่อว่า ซึ่งความเป็นจริงแล้ว รากฐานเศรษฐกิจไทยยังคงแข็งแกร่ง โดยอ้างอิงจากการจัดลำดับของฟิตช เรตติงส์(Fitch Ratings)ในเดือนที่ผ่านมาพบว่า “เศรษฐกิจไทยแสดงการปรับฟื้นตัว” และเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมีสูงถึง 157 พันล้านดอลลาร์ แต่ในทางตรงกันข้ามหนี้ต่างชาติระยะสั้นกลับมีเพียงแค่ 55 พันล้านดอลลาร์ ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ประเทศอยู่ที่ 43% ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขของสหรัฐฯ อังกฤษ และญี่ปุ่นมาก

และนอกจากนี้เอกอัคราชทูตไทยในวอชิงตันยังกล่าวต่อว่า และที่สำคัญที่สุดอัตราว่างงานของไทยในเวลานี้อยู่ที่ 0.9% เท่านั้น ต่ำกว่าตัวเลขอัตราว่างงานเฉลี่ยขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา OECD เสียอีก

และในจดหมายที่ส่งถึงบรรณาธิการนิวยอร์กไทม์ส ทูตพิศาลยังได้ระบุเพิ่มเติมถึงข้อมูลทางเศรษฐกิจของไทยต่อว่า ในขณะนี้เศรษฐกิจไทยกำลังเริ่มกลับมาอีกครั้งด้วยทิศทางการเติบโตที่แน่นอน ถึงแม้จะต้องเผชิญกับความเปราะบางของเศรษฐกิจโลกที่ถาโถมเข้ามา ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและอุตสาหกรรมมีเพิ่มขึ้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ซึ่งดูได้จากตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้อยู่ที่ 2.9 เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 0.9 ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา

และนอกไปจากนี้ ยังพบว่าสถาบันต่างชาติต่างๆรวมไปถึงหน่วยงานด้านเศรษฐกิจในประเทศ จากการชี้แจงของทูตพิศาล ยังได้คาดการณ์ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2016 อยู่ที่ 3% - 4%

และทูตพิศาลยังชี้แจงในประเด็นการปฎิรูปซึ่งเป็นเป้าหมายหลักและเป็นพันธกิจคำมั่นสัญญาของรัฐบาลไทยในรัฐบาลคสช.ของพลเอกประยุทธ์ ที่นอกเหนือจากการทำให้ประเทศมีเสถียรภาพแล้ว ยังต้องการให้โครงสร้างประเทศมีการยกเครื่องใหม่เพื่อให้ทำให้ไทยมีความเข้มแข็งในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านความเป็นเอกภาพทางการเมือง การแบ่งแยกอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารและการเมือง ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โครงสร้างการให้การศึกษา และคุณค่าความเป็นไทยต่อประเทศ

โดยในจดหมายตอบถึงกองบรรณาธิการสื่อสหรัฐฯ ทูตพิศาลกล่าวว่า ในขณะนี้การปฎิรูปของไทยอยู่ในระหว่างการดำเนินการเพื่อทำให้ไทยกลับมาสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจเพื่อให้ประเทศสามารถมีศักยภาพเหนือคู่แข่ง ในขณะที่ไทยกำลังก้าวเข้าสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนและครอบคลุม และที่สำคัญ หอการค้าอเมริกันของท่านในไทยได้ตอบรับแนวคิดการปฎิรูปนี้แล้ว และยังคงแสดงความเชื่อมั่นในไทยในฐานะที่ยังคงเป็นจุดหมายการลงทุนที่น่าดึงดูดในสายตานักลงทุนต่างชาติ

ทั้งนี้ในคอลัมน์ Memo from Thailand ของฟูลเลอร์ คอลัมนิสต์ของนิวยอร์กไทมส์ได้กล่าวหารัฐบาลทหารไทยว่า ทำให้เศรษฐกิจของประเทศหยุดชะงัก และทรุดลงอย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับความรู้สึกของประชาชนชาวไทยที่อาศัยในประเทศ ซึ่งฟูลเลอร์ได้กล่าวเปรียบเปรยว่า อย่างได้หลงไปกับขบวนแถวเข้าคิวทอดยาวของนักท่องเที่ยวจีนที่กำลังเบียดเสียดบริเวณประตูหน้าของวัดพระแก้ว หรือรอยยิ้มจากบรรดาพนักงานต้อนรับในโรงแรมหรูในใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งฟูลเลอร์ได้กล่าวเปรียบเปรยว่าเป็น “รอยยิ้มทำด้วยพลาสติก” เพราะเศรษฐกิจไทยกำลังดิ่งเหว

เนื้อหาตลอดทั้งบทความของฟูลเลอร์ นักเขียนนิวยอร์กไทม์สได้แสดงให้เห็นสภาพของไทยหลังจากรัฐบาลรัฐประหารของพลเอกประยุทธ์เข้าสู่อำนาจ ซึ่งชี้ว่าไทยมีหนี้ครัวเรือนสูงที่สุดในภูมิภาค และชี้ว่าคนไทยไม่มีความสุขอีกต่อไป

ซึ่งในบทความ “Thai Economy Is Sagging, and So Are Thai Spirits” (Memo From Thailand) ฟูลเลอร์ได้ใช้การให้สัมภาษณ์ของ สมเพชร พิมศรี แม่ค้าในตลาดผักและผลไม้ด้านหลังบริเวณวัดอรุณ สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในไทย ว่า “ไม่ใครรู้สึกอยากยิ้มอีกต่อไป ชีวิตช่างยากลำบาก ดิฉันไม่รู้จะอธิบายอย่างไร รู้แต่ว่าประเทศนี้ไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไปแล้ว”

และนอกจากนี้ฟูลเลอร์ยังเปิดประเด็นในเรื่องปัญหาอาชญากรรมในไทยโดยกล่าวว่า พบว่าอาชญกรรมเพิ่มมากขึ้นกว่า 63% ในปีนี้ และอาชญากรรมรุนแรงเพิ่มมากกว่า 17% แต่กลับกลายเป็นว่า ผู้นำประเทศเช่นพลเอกประยุทธ์นอกจากจะข่มขู่ด้วยการจะสั่งปิดประเทศในการกล่าวปราศรัยทางโทรทัศน์ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาแล้ว ผู้นำไทยคนนี้ยังเลือกที่จะใช้อำนาจทางบริหารในการปิดปากผู้ที่ไม่เห็นด้วย ซึ่งฟูลเลอร์โยงไปถึงมาตรา 112 โดยนัย โดยการยกตัวอย่างถึงจำนวนผู้ที่ถูกรัฐบาลไทยสั่งลงโทษ และมีหนึ่งในนั้นเสียชีวิตอยู่ในระหว่างการต้องโทษ ที่ทางพลเอกประยุทธ์อ้างว่า เสียชีวิตจากโรคร้ายหรือปลิดชีพตนเอง รวมไปถึงการสั่งให้ใช้ซิงเกิลเกตเวย์สำหรับการควบคุมการสื่อสารทางอินเตอร์เนต และฟูลเลอร์ยังได้อ้างว่า เสียงสะท้อนโซเชียลมีเดียในไทยได้แสดงออกถึงความกลัวในการควบคุมของรัฐบาลไทย




กำลังโหลดความคิดเห็น