รอยเตอร์ - ผลสำรวจล่าสุดจากสื่อเมืองปลาดิบชี้ คะแนนนิยมของนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ เริ่มกระเตื้องขึ้นเล็กน้อย หลังจากที่เคยตกต่ำเป็นประวัติการณ์ตอนที่รัฐบาลออกชุดกฎหมายความมั่นคงอนุมัติส่งกองกำลังป้องกันตนเองออกไปช่วยชาติพันธมิตรสู้รบในต่างแดน
ผลสำรวจความคิดเห็นพบว่า ชาวญี่ปุ่นส่วนมากไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องรีบแก้รัฐธรรมนูญฉบับใฝ่สันติ ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้ญี่ปุ่นดำรงความเป็นชาติที่สงบสุขมาได้หลายสิบปี ขณะที่นักวิจารณ์กลับมองว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นเครื่องหมายของ “ความพ่ายแพ้” ในยุคสงคราม และทำให้ญี่ปุ่นไม่สามารถยกระดับศักยภาพในการป้องกันตนเองได้อย่างเต็มที่
ผลสำรวจโดยหนังสือพิมพ์ธุรกิจนิกเกอิเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ พบว่า คะแนนนิยมของคณะรัฐมนตรี อาเบะ ขยับขึ้น 8 จุดมาอยู่ที่ 49% ซึ่งนับว่าสูงที่สุด ตั้งแต่เริ่มมีกระแสต่อต้านชุดกฎหมายความมั่นคงเมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา
ด้านผลสำรวจของสำนักข่าวเกียวโดก็บ่งชี้ไปในทางเดียวกัน โดยพบว่า คะแนนนิยมของผู้นำญี่ปุ่นขยับขึ้น 3.5 จุด มาอยู่ที่ 48.3% ซึ่งอาจเป็นเพราะประชาชนรู้สึกพอใจกับคำมั่นสัญญาของรัฐบาลที่ว่าจะหันมามุ่งเน้นแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ก่อนจะมีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาในปีหน้า
อาเบะ ยืนยันว่า ชุดกฎหมายความมั่นคงที่ประกาศใช้เมื่อเดือน ก.ย. มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดต่อการรับมือภัยคุกคาม โดยเฉพาะพฤติกรรมก้าวร้าวของจีน ขณะที่นักวิจารณ์เตือนว่าเนื้อหาของชุดกฎหมายนี้ละเมิดรัฐธรรมนูญ และเสี่ยงที่จะทำให้ญี่ปุ่นเข้าไปพัวพันความขัดแย้งในต่างแดน
โพลของเกียวโดยังพบว่า คะแนนนิยมของพรรคเสรีประชาธิปไตย (แอลดีพี) ที่มี อาเบะ เป็นผู้นำอยู่ที่ราวๆ 36.7% ซึ่งมากกว่าพรรคฝ่ายค้าน เดโมเครติก ปาร์ตี ออฟ เจแปน (ดีพีเจ) ถึง 3 เท่า
อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบแบบสอบถาม 35.9% ระบุว่า พวกเขาไม่สนับสนุนพรรคใดเป็นพิเศษ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้คนส่วนใหญ่จะไม่พอใจการทำงานของ อาเบะ และ แอลดีพี แต่ก็ไม่ได้มองว่าพรรคฝ่ายค้านเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
ด้านผลสำรวจโดยหนังสือพิมพ์อาซาฮีพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 58% “เห็นด้วย” กับการแก้ไขกฎหมายความมั่นคง ส่วนผู้ที่คัดค้านมีเพียง 27% เท่านั้น
อย่างไรก็ดี โพลของอาซาฮีพบว่า ผู้ตอบคำถาม 57% ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องรีบแก้รัฐธรรมนูญใฝ่สันติตามที่รัฐบาลกำลังผลักดันอยู่ ขณะที่ 34% เชื่อว่าควรจะมีการแก้รัฐธรรมนูญโดยเร็ว
ทั้งนี้ การจะแก้ไขรัฐธรรมนูญที่สหรัฐฯ เป็นผู้ร่างไว้ให้หลังจากที่ญี่ปุ่นพ่ายสงครามโลกครั้งที่ 2 จะต้องได้รับเสียงสนับสนุนถึง 2 ใน 3 จากทั้งสภาล่างและวุฒิสภา รวมถึง “เสียงส่วนใหญ่” จากผลประชามติ ซึ่งเป็นอุปสรรคใหญ่ที่รัฐบาล อาเบะ ยังแก้ไม่ตก