เอเอฟพี - โฟล์คสวาเกนแถลงผลการตรวจสอบภายในบริษัทซึ่งพบว่ามีรถยนต์ราวๆ 800,000 คันที่ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ “สูงผิดปกติ” และครอบคลุมไปถึงรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินด้วย ซึ่งนับเป็นปัญหาใหม่ที่พบ หลังจากที่ค่ายรถชื่อดังเมืองเบียร์ตกเป็นข่าวอื้อฉาวเรื่องอุปกรณ์โกงค่ามลพิษ
จากการประเมินเบื้องต้นของโฟล์คสวาเกน ปัญหานี้อาจทำให้บริษัทต้องสูญเสียเม็ดเงินไปอีกราวๆ 2,000 ล้านยูโร แต่ “เวลานี้ยังไม่สามารถสรุปผลประเมินความผิดปกติที่เชื่อถือได้อย่างแน่นอน”
ปอร์เช่ เอสอี ซึ่งถือหุ้นโฟล์คอยู่ 32.4% ระบุว่า ปัญหาใหม่ที่พบอาจ “ส่งผลลบ” ต่อยอดขายของปอร์เช่ ทว่าบริษัทยังไม่ปรับคาดการณ์ผลประกอบการในปี 2015
โฆษกโฟล์คสวาเกน แถลงว่า ยานพาหนะที่ได้รับผลกระทบประกอบด้วยรถยี่ห้อโฟล์คสวาเกน, สโกดา, ออดี้ และ เซียต ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.4, 1.6 และ 2.0 ลิตร โดยพบว่ามีการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) สูงกว่าที่เคยตรวจเจอ
โฟล์คยอมรับว่า ปัญหาใหม่นี้ครอบคลุมไปถึงยานพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินอย่างน้อย 1 รุ่น
โฟล์คสวาเกนออกมายอมรับเมื่อเดือนกันยายนว่า รถเครื่องยนต์ดีเซลราว 11 ล้านคันทั่วโลกติดตั้งอุปกรณ์ที่สามารถโกงค่ามลพิษขณะถูกทดสอบได้ ซึ่งนับเป็นข่าวที่สร้างความตกตะลึงต่อแวดวงยานยนต์ ขณะที่ทางการหลายประเทศได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อเอาผิดกับค่ายรถชื่อดังแห่งนี้
สิ่งที่เรียกว่า “อุปกรณ์ยังผล” (defeat device) นี้จะเปิดตัวควบคุมมลพิษระหว่างที่รถยนต์ถูกทดสอบค่าไอเสีย และจะปิดในขณะที่รถแล่นอยู่บนท้องถนนตามปกติ ซึ่งหมายความว่ารถยนต์เหล่านี้อาจปลดปล่อยก๊าซพิษไนโตรเจนออกไซด์ออกมาในปริมาณที่สูงมาก โดยที่ทางการของแต่ละประเทศตรวจไม่พบ
สำหรับปัญหาก๊าซ CO2 ที่โฟล์คสวาเกนตรวจพบล่าสุดถือเป็นเรื่องใหม่ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับก๊าซพิษคนละชนิด และส่งผลกระทบถึงยานพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน
“บอร์ดบริหารโฟล์คสวาเกนรู้สึกเสียใจเมื่อได้ทราบความจริงข้อนี้” แมตเธียส มุลเลอร์ ซีอีโอโฟล์คสวาเกน ระบุในถ้อยแถลง พร้อมยืนยันว่าบริษัทจะเร่งประสานกับทางการเพื่อแก้ไขความผิดปกติในการปลดปล่อยก๊าซ CO2
เมื่อค่ำวันจันทร์ (2) ทางการสหรัฐฯ ได้ออกมากล่าวหาเพิ่มเติมว่า โฟล์คสวาเกนไม่เพียงติดตั้งอุปกรณ์โกงค่าก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ในรถที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็กเท่านั้น แต่ยังรวมถึงรถดีเซล 6 กระบอกสูบขนาด 3.0 ลิตรอย่าง โฟล์คสวาเกน ทูอาเร็ก, ปอร์เช่ คาเยน และออดี้บางรุ่น ซึ่งค่ายรถเมืองเบียร์ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง
