เอเอฟพี - การประชุมซัมมิตระหว่างประธานาธิบดี พัค กึน-ฮเย แห่งเกาหลีใต้ และนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ แห่งญี่ปุ่น เปิดฉากขึ้นที่ทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงโซล วันนี้ (2 พ.ย.) ท่ามกลางกระแสความคาดหวังว่า การพบกันของผู้นำทั้งสองจะช่วยให้โตเกียวและโซลสามารถบรรลุข้อตกลงแก้ไขข้อพิพาทยุคสงครามที่บั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมานานหลายสิบปี
ประธานาธิบดี พัค และนายกฯ อาเบะ ได้หารือกันในหลายประเด็น รวมถึงปมปัญหาเกี่ยวกับ “สตรีเพื่อการผ่อนคลาย” (comfort women) ซึ่งหมายถึงผู้หญิงเกาหลีที่ถูกบังคับให้ทำงานในซ่องทหารญี่ปุ่นเมื่อช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ซัมมิตครั้งนี้ถือเป็นการพบปะแบบทวิภาคีครั้งแรกระหว่างทั้งคู่ เนื่องจาก พัค เคยปฏิเสธที่จะจัดซัมมิตกับผู้นำญี่ปุ่นมาหลายครั้ง โดยอ้างว่าโตเกียวยังไม่แสดงท่าทีสำนึกผิดอย่างเพียงพอต่อความโหดร้ายป่าเถื่อนที่ได้กระทำระหว่างเข้ายึดครองคาบสมุทรเกาหลีในช่วงปี 1910-1945
แม้การพบกันครั้งนี้อาจไม่สามารถลบเลือนรอยร้าวที่หยั่งรากลึก และทำให้ 2 ชาติเพื่อนบ้านกลับกลายมาเป็นมิตรที่อบอุ่นได้ แต่ก็ถือเป็นพัฒนาการก้าวสำคัญที่จะช่วยลดความขมขื่นทางประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความร่วมมือเชิงปฏิบัติมานานหลายทศวรรษ
ทำเนียบประธานาธิบดีโสมขาวระบุว่า ผู้นำหญิงเกาหลีใต้เริ่มต้นบทสนทนาด้วยการย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้อง “รักษาบาดแผลจากอดีต” และผู้นำทั้งสองก็ได้หยิบยกข้อพิพาทสำคัญๆ ขึ้นมาหารืออย่างเปิดใจ
“ทั้งสองท่านเห็นควรให้เร่งปรึกษาหารือกัน เพื่อแก้ไขเรื่องสตรีเพื่อการผ่อนคลายที่ยังค้างคาใจ” ทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงโซลแถลง พร้อมระบุว่า พัค ได้กล่าวย้ำว่าเรื่องนี้คือ “อุปสรรคใหญ่ที่สุด” ที่ขัดขวางความสัมพันธ์อันดีกับญี่ปุ่น
ด้านนายกรัฐมนตรี อาเบะ ก็ได้ให้สัมภาษณ์นักข่าวภายหลังว่า ตนเห็นด้วยว่าเรื่องสตรีเพื่อการผ่อนคลายเป็นปัญหาสำคัญ “ที่จะต้องแก้ให้ได้โดยเร็วที่สุด”
“เราไม่ควรทิ้งปัญหาให้อนุชนรุ่นหลังต้องมาแบกรับ” อาเบะ กล่าว ทว่าก็ไม่มีคำขออภัยใดๆ ต่อสิ่งที่กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นเคยทำไว้ในอดีต
โตเกียวยืนยันว่า เรื่องสตรีเพื่อการผ่อนคลายตกลงไปกันเรียบร้อยแล้วตอนทำข้อตกลงสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตสู่ระดับปกติในปี 1965 ซึ่งญี่ปุ่นยอมจ่ายชดเชยให้เกาหลีใต้เป็นวงเงินรวม 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งในรูปของเงินสดและเงินกู้
ก่อนที่การประชุมซัมมิตจะเปิดฉากขึ้น พัค และ อาเบะ ได้จับมือทักทายและส่งยิ้มให้แก่กัน ซึ่งเป็นภาพที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับการพบกันในเวทีประชุมพหุภาคีครั้งก่อนๆ ซึ่งทั้งสองแสดงท่าทีเฉยชาต่อกันตลอดเวลา โดยเฉพาะในฝั่งผู้นำหญิงโสมขาว
พัค ซึ่งก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของเกาหลีใต้เมื่อปี 2013 ประกาศจุดยืนแข็งกร้าวในการเรียกร้องให้โตเกียวสำนึกผิดและชดเชยให้แก่สตรีชาวเกาหลีที่เคยถูกบังคับเป็นทาสกาม ขณะที่ผู้นำสายชาตินิยมจัดอย่าง อาเบะ ก็เป็นที่ชิงชังอย่างมากในแดนโสม เพราะถูกมองว่าพยายามบิดเบือนและ “ฟอกขาว” ประวัติศาสตร์ยุคสงครามของญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตาม การประชุมซัมมิตครั้งนี้ก็ได้เสียงตอบรับที่ดีจากประชาชนทั้ง 2 ประเทศซึ่งเล็งเห็นถึงความจำเป็นที่ 2 ชาติพันธมิตรของสหรัฐฯ จะต้องผูกมิตรกันไว้ เพื่อผลประโยชน์ทางการค้าและความร่วมมือในการสกัดกั้นโครงการนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ
ฮอง ฮยุน-อิก นักวิเคราะห์จากสถาบันคลังความคิดเซจองในกรุงโซล เตือนว่า “เราต้องไม่ลืมว่า นี่เป็นซัมมิตครั้งแรกของผู้นำ 2 ประเทศในรอบเกือบ 4 ปี จึงยังไม่ควรคาดหวังอะไรมากนัก... สิ่งสำคัญที่สุดคือการเปิดช่องทางเจรจาตามปกติ เพื่อปูทางไปสู่การหารือและความร่วมมือในระดับคณะทำงาน”
พัค และ อาเบะ ได้ประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรี หลี่ เค่อเฉียง ของจีนเมื่อวันอาทิตย์(1) ซึ่งถือเป็นการประชุมไตรภาคีครั้งแรกในรอบกว่า 3 ปี โดยผู้นำทั้งสามยืนยันผ่านถ้อยแถลงร่วมว่า จะส่งเสริมการค้าและความมั่นคงระหว่าง 3 ชาติเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก