เอเอฟพี – เกิดเหตุชายชาวเกาหลีใต้จุดไฟเผาตัวเองที่หน้าสถานทูตญี่ปุ่นในกรุงโซลวันนี้ (12 ส.ค.) ระหว่างที่มีการชุมนุมใหญ่เพื่อเรียกร้องให้โตเกียวแสดงความสำนึกผิดและรับผิดชอบต่อ “สตรีเพื่อการผ่อนคลาย” ที่ถูกบังคับให้ทำงานในซ่องทหารของกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ภาพจากสถานีโทรทัศน์เผยให้เห็นผู้ประท้วงหลายคนพยายามนำผ้าและน้ำบรรจุขวดช่วยดับไฟบนร่างชายคนดังกล่าว ก่อนที่หน่วยกู้ภัยจะเดินทางไปถึง และนำร่างผู้บาดเจ็บขึ้นเปลหามส่งโรงพยาบาล
สำนักข่าวยอนฮัป รายงานว่า ชายที่เผาตัวเองหน้าสถานทูตญี่ปุ่นมีนามสกุลว่า ชอย อายุ 81 ปี และมีภูมิลำเนาอยู่ในเมืองกวางจูทางตอนใต้
ยอนฮัปอ้างเจ้าหน้าที่แพทย์ซึ่งระบุว่า ชายคนนี้มีแผลไฟไหม้ถึงระดับ 3 แต่ยังมีสติสัมปชัญญะ และไม่น่าจะถึงขั้นเสียชีวิต
การเผาตัวตายเพื่อประท้วงอะไรบางอย่างเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ แดนในโสมขาว โดยเฉพาะช่วงทศวรรษ 1980-90 ซึ่งมีขบวนการนักศึกษาออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยในเกาหลีใต้
อย่างไรก็ดี การเผาตัวตายไม่ได้เกิดเฉพาะในหมู่นักเคลื่อนไหวทางการเมืองเท่านั้น เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาก็มีชายพิการวัย 56 ปีเผาตัวตายเพราะมีปัญหากับเจ้าของที่ดิน และก่อนหน้านั้นในเดือนมีนาคมก็มีชายวัย 29 ปีเลือกฆ่าตัวตายด้วยวิธีนี้ หลังจากถูกแฟนสาวปฏิเสธคำขอแต่งงาน
ครั้งล่าสุดที่มีคนเผาตัวตายหน้าสถานทูตญี่ปุ่นในกรุงโซลคือเมื่อปี 2005 โดยเป็นชายวัย 54 ปีที่ออกมาชุมนุมคัดค้านที่โตเกียวอ้างกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะด็อกโดในทะเลจีนตะวันออก ซึ่งเป็นเกาะที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเกาหลีใต้
การชุมนุมประท้วงที่หน้าสถานทูตญี่ปุ่นในวันนี้มีผู้เข้าร่วมเกือบ 1,000 คน ก่อนจะถึงวันเสาร์ (15) ซึ่งเป็นวันครบรอบ 70 ปีที่คาบสมุทรเกาหลีได้รับการปลดแอกจากกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น
เกาหลีใต้มองว่า รัฐบาลโตเกียวยังไม่แสดงท่าทีสำนึกผิดมากพอต่อความทุกข์ทรมานของผู้หญิงเกาหลีที่ถูกเกณฑ์ไปเป็น “สตรีเพื่อการผ่อนคลาย” ตามซ่องทหารญี่ปุ่นในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2
ทางการญี่ปุ่นยืนยันว่า เรื่องสตรีเพื่อการผ่อนคลายได้เจรจากันจบสิ้นไปแล้วขณะทำสัญญาฟื้นความสัมพันธ์กับเกาหลีใต้ในปี 1965 ซึ่งเวลานั้นโตเกียวยอมชดเชยเป็นเงินถึง 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งในรูปของเงินบริจาคและเงินกู้ให้แก่กรุงโซล
อย่างไรก็ตาม ปมประวัติศาสตร์เรื่องนี้ยังคงเป็นหนามทิ่มแทงความสัมพันธ์ระหว่างโซลและโตเกียวเรื่อยมา ถึงขั้นที่ประธานาธิบดีหญิง พัค กึน-ฮเย เคยกล่าวไว้ว่า จะไม่มีการพบปะอย่างเป็นทางการกับนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ จนกว่าญี่ปุ่นจะแสดงความรับผิดชอบอย่างสมบูรณ์