เอเจนซีส์ / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ประชาชนจำนวนอย่างน้อย 150,000 คน เข้าร่วมการเดินขบวนครั้งใหญ่ในกรุงเบอร์ลินของเยอรมนีในวันเสาร์ (10 ต.ค.) เพื่อประท้วงแผนการทำข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างยุโรปกับสหรัฐอเมริกา โดยระบุ กระบวนการจัดทำข้อตกลงดังกล่าวขัดต่อหลักประชาธิปไตย และเนื้อหาในข้อตกลงนี้ ยังลดทอนความเข้มงวดของมาตรการด้านความปลอดภัยทางอาหาร แรงงาน และสิ่งแวดล้อมอย่างเลวร้าย
รายงานข่าวระบุว่า นี่คือ การเดินขบวน ซึ่งมีประชาชนเข้าร่วมแสดงพลังมากที่สุดในรอบหลายปีของเยอรมนี โดยข้อมูลจากตำรวจในกรุงเบอร์ลิน ระบุว่า จำนวนผู้เข้าร่วมการเดินขบวนคัดค้านข้อตกลงการค้าเสรีในครั้งนี้มีจำนวนอย่างน้อย 150,000 ราย และว่า ภาพรวมของการเดินขบวนเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย ท่ามกลางการดูแลความปลอดภัยของกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเยอรมนีราว 1,000 นาย
อย่างไรก็ดี คริสตอฟ เบาต์ซ ผู้อำนวยการขององค์กรเคลื่อนไหวภาคพลเรือน “Campact” ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรที่ร่วมจัดการเดินขบวนในครั้งนี้ ออกมาเปิดเผยในระหว่างการขึ้นกล่าวปราศรัยต่อผู้เข้าร่วมกิจกรรม โดยอ้างว่า ยอดผู้เข้าร่วมการเดินขบวนแสดงจุดยืนคัดค้านข้อตกลงการค้าเสรีดังกล่าวในวันเสาร์ (10) มีจำนวนมากกว่า 250,000 ราย ซึ่งมากกว่าที่คณะผู้จัดงานตั้งเป้าเอาไว้
เป้าหมายหลักที่ตกเป็นเป้าของการคัดค้านของประชาชนเรือนแสนในเยอรมนีในครั้งนี้ คือ ข้อตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วน ด้านการค้าและการลงทุนสองฟากฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก (Transatlantic Trade and Investment Partnership : TTIP) ระหว่างชาติในยุโรปกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งสร้างความกังวลให้กับผู้บริโภคในเยอรมนีและทั่วยุโรป ถึงการผ่อนคลายความเข้มงวดด้านความปลอดภัยทางอาหาร แรงงานและสิ่งแวดล้อมของยุโรปลง ทั้งนี้ เพื่อเปิดรับสินค้าจากสหรัฐอเมริกาเข้าสู่ตลาดยุโรปมากขึ้น
ด้าน ดีทมาร์ บาร์ทช์ หนึ่งในแกนนำกลุ่มเคลื่อนไหวเลฟต์ ปาร์ตี ของรัฐสภาเยอรมนี ซึ่งเข้าร่วมการเดินขบวนในวันเสาร์ (10) ระบุว่า กระบวนการทำข้อตกลงการค้าเสรี TTIP ดังกล่าว ขาดความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของประชาชนในยุโรป
ทั้งนี้ ข้อตกลงการค้าเสรีดังกล่าวจะช่วยสร้างตลาดที่มีผู้บริโภคกำลังซื้อสูง มากถึง 800 ล้านคนและข้อตกลงนี้ถูกทางการสหรัฐฯคาดหวังให้เป็นกลไกสำคัญ ในการถ่วงดุลอำนาจในเวทีเศรษฐกิจโลกกับจีน ขณะที่ภาคธุรกิจทั้งในสหรัฐฯและยุโรปต่างประเมินว่า ข้อตกลงนี้จะสร้างผลประโยชน์ร่วมทางเศรษฐกิจจำนวนมหาศาลมากกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับทั้งสหรัฐอเมริกาและยุโรป