เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ – สื่อญี่ปุ่นรายงานล่าสุดในปฎิกริยาฉับพลันของปักกิ่งต่อการตื่นตัวในการรับมือภัยคุกคามความมั่นคงของญี่ปุ่นว่า จีนได้ออกมาส่งสัญญาณเตือนญี่ปุ่นล่าสุด โดยอ้างว่าร่างอนุมัติกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับที่เพิ่งผ่านสภาสูงไปนั้น “เป็นการคุกคามสันติภาพและความสงบสุขในภูมิภาคเอเชีย” ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปีที่โตเกียวสามารถส่งทหารไปสู้รบในต่างแดนได้ และนอกจากเกาหลีใต้ที่ร่วมออกมาประณามแล้ว กระทรวงต่างประเทศเกาหลีเหนือได้ออกแถลงการณ์เตือนในวันอาทิตย์(20)ระบุว่า “การแก้ไขร่างกฎหมายใหม่ของรัฐบาลชินโซ อาเบะถือเป็นภัยคุกคามต่อชาวโลก” พร้อมประกาศยกระดับเตรียมความพร้อมทันที
เจแปนส์ไทม์ สื่อญี่ปุ่น รายงานเมื่อวานนี้(20)ว่า จีนได้ออกแถลงการณ์ "กล่าวหาญี่ปุ่น" ว่า อาจก่อให้เกิดการคุกคามต่อสันติภาพในภูมิภาคขึ้น หลังจากทางสภาสูงญี่ปุ่นได้ผ่านร่างกฎหมายความมั่นคง อนุญาตให้รัฐบาลนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ สามารถใช้อำนาจส่งกองกำลังทหารไปต่างแดนได้เป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปี นับตั้งแต่ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา
ทั้งในในแถลงการณ์ที่ออกมาในวันเสาร์(20)จากกระทรวงกลาโหมจีนเตือนให้อาเบะรำลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ไว้
สื่อญี่ปุ่นรายงานเพิ่มเติมต่อว่า จากแถลงการณ์กลาโหมปักกิ่งตามการรายงานของสำนักข่าวซินหัว สื่อจีน ชี้ว่า นโยบายการปฎิรูปนโยบายความมั่นคงทางทหารของอาเบะนี้ได้สร้างความวิตกในหมู่ประชาชนแดนอาทิตย์อุทัยเอง รวมไปถึง ประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชีย และรวมไปถึงประชาคมโลก
การที่แถลงการณ์ปักกิ่งอ้างเช่นนี้เนื่องมาจากที่ ร่างกฎหมายความมั่นคงญี่ปุ่นใหม่ได้ให้อำนาจอาเบะสามารถสั่งเคลื่อนกำลังรบไปยังส่วนต่างๆของโลกได้อย่างอิสระ โดยไม่จำกัดว่าต้องอยู่ในสถาการณ์ที่ประเทศถูกคุกคามเท่านั้น
และซินหัวยังรายงานเพิ่มเติมอีกว่า แถลงการณ์กระทรวงงกลาโหมยังชี้ว่า ร่างกฎหมายใหม่นี้ไม่เพียงแค่ละเมิดสัญญาของญี่ปุ่นต่อชาวโลกหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว แต่ยังถือว่าเป็นการทรยศต่อประชาชนในชาติของตัวเองอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม อาเบะที่เป็นนักการเมืองญี่ปุ่นสายอนุรักษ์ตอบโต้ว่า ญี่ปุ่นมีความจำเป็นต้องปฎิรูปความมั่นคงของชาติเพื่อปกป้องประเทศจากภัยคุกคามที่เกิดขึ้น ซึ่งสื่อญี่ปุ่นชี้ว่า ไม่ว่าจะเป็น จีน หรือ เกาหลีเหนือ แต่ทว่าฝ่ายค้านกลับเห็นว่า ร่างกฎหมายใหม่นี้จะทำให้ญี่ปุ่นตกเข้าไปในหล่มความขัดแย้งในต่างแดนอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
ในขณะที่รายงานของสำนักข่าวยอนฮับของเกาหลีใต้ได้เปิดเผยว่า รัฐบาลเกาหลีใต้ของประธานาธิบดี พัก กึน-ฮเย มีปฎิกริยาในการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางความมั่นคงญี่ปุ่นเช่นกัน ซึ่งได้ส่งสัญญาณผ่านแถลงการณ์ของกระทรวงต่างประเทศเกาหลีใต้เตือนโตเกียวให้รำลึกถึง ความโปร่งใสในการกำหนดนโยบายทางทหารที่ถือเป็นสิ่งจำเป็น ในขณะที่ยังคงต้องรักษาเจตจำนงค์เดิมของกฎหมายรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นไว้ควบคู่
และเป็นที่น่าแปลกใจ เมื่อพบว่าเกาหลีเหนือร่วมส่งสัญญาณมายังรัฐบาลอาเบะเช่นกัน
โดยกระบอกเสียงของเกาหลีเหนือ KCNA รายงานถึงแถลงการณ์ที่แข็งกร้าวจากกระทรวงต่างประเทศเกาหลีเหนือว่า ญี่ปุ่นยังคงฝักใฝ่ในความต้องการที่จะส่งกองทัพไปบุกยึดชาติอื่น
จากการรายงานเพิ่มเติมของ business-standard สื่อธุรกิจพบว่า กระทรวงต่างประเทศของประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ คิม จอง อึนระบุในวันอาทิตย์(20)ว่า “การผ่านมติร่างกฎหมายนโยบายความมั่นคงสำคัญนี้ ได้ปูทางให้รัฐบาลญี่ปุ่นสามารถส่งกองกำลังรบไปออกปฎิบัติได้ในทุกส่วนภูมิภาคของโลก ภายใต้คำกล่าวอ้างเพื่อปกป้องเสรีภาพและความมั่นคง และสนับสนุนกำลังรบสหรัฐฯ ด้วยการการส่งกองกำลังป้องกันตัวเองออกไปเมื่อใดก็ได้ทุกขณะ”
นอกจากนี้แถลงการณ์ของเกาหลีเหนือยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “การเคลื่อนไหวล่าสุดด้านการทหารญี่ปุ่นถือได้ว่าเป็นภัยร้ายแรงต่อความสงบและเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชีย และทั่วโลก”
และที่สำคัญ ในแถลงการณ์ยังย้ำว่า ทางเกาหลีเหนือจะเริ่มต้นใช้นโยบายต่อต้านทุกรูปแบบที่สอดคล้องกับสถานการณ์ซึ่งอาจพัฒนาจนถึงขั้นเป็นภัยร้ายแรงต่อประเทศ และเป็นเหตุทำให้ทางเปียงยางต้องเพิ่มมาตรการทางการทหารที่ "จำเป็น" ในการปกป้องประเทศ
ในขณะเดียวกันในความเคลื่อนไหวในประเทศญี่ปุ่น วันเสาร์(19)ล่าสุด มีหลายกลุ่มที่คัดค้าน ประกาศจุดยืนที่จะใช้อำนาจทางตุลาการคว่ำร่างกฎหมายความมั่นคง
และหนึ่งในนั้นคือ ซูซูมุ มูราโคชิ (Susumu Murakoshi) ประธานสภาทนายความแห่งชาติญี่ปุ่นที่ทรงอิทธิพลในญี่ปุ่นซึ่งมีสมาชิกถึง 36,000 คนทั่วประเทศได้โจมตีถึงการปฎิรูปนโยบายการทหารของอาเบะว่า “เป็นการทรยศต่อความต้องการของประชาชนชาวญี่ปุ่น และประกาศจุดยืนที่จะเห็นการล้มเลิกกฎหมายฉบับนี้”
ซึ่งในแถลงการณ์ของเขา ประธานสภาทนายความแห่งชาติญี่ปุ่นกล่าวว่า “กฎหมายฉบับนี้ได้สร้างรอยด่างให้กับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นอย่างไม่ต้องสงสัยในฐานะประเทศที่มีการปกครองด้วยระบบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญ”
อย่างไรก็ตาม เจแปนส์ไทม์อธิบายว่า ถึงแม้ว่าจะมีการแก้กฎหมายความมั่นคงทางต่างประเทศแล้ว แต่เมื่อเทียบกับชาติอื่นแล้ว ญี่ปุ่นยังคงต้องถูกจำกัดภายในกรอบอย่างเคร่งครัด ซึ่งสื่อญี่ปุ่นชี้ว่า แต่ละครั้งที่โตเกียวจะออกคำสั่งส่งกองกำลังรบออกไปต่างแดนได้นั้น ต้องให้สภาผู้แทนราษฏรญี่ปุ่นลงมติอนุมัติเท่านั้นด้วยภายใต้เงื่อนไขที่จำกัด และอีกทั้งยังจำกัดจำนวนกำลังทหารที่ส่งออกไป
ทั้งนี้รัฐบาลอาเบะอธิบายว่า กองกำลังญี่ปุ่นที่ส่งไปจะสามารถช่วยสนับสนุนกองกำลังรบสหรัฐฯซึ่งเป็นชาติพันธมิตรได้ แต่ทว่าไม่เปิดเผยเพิ่มเติมว่า อาจะมีชาติอื่นหรือไม่ที่ทางญี่ปุ่นพิจารณาในการร่วมสนับสนุน