เอเอฟพี - ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียให้คำมั่นในวันนี้ (15 ก.ย.) ว่าจะยังคงให้การสนับสนุนทางทหารแก่ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด แห่งซีเรียต่อไป หลังจากที่วอชิงตันออกมาเตือนเรื่องการขยายบทบาททางทหารของมอสโคในประเทศที่ยับเยินจากสงครามแห่งนี้
“เราสนับสนุนรัฐบาลซีเรียในการต่อสู้กับการรุกรานโดยผู้ก่อการร้าย เรากำลังจัดสรรทุกความช่วยเหลือทางทหารที่จำเป็นให้แก่ซีเรียและจะทำเช่นนี้ต่อไป” ปูตินกล่าวในการประชุมด้านความมั่นคงในภูมิภาคที่ทาจิกิสถาน
เมื่อวันจันทร์ (14) เจ้าหน้าที่ทางทหารของสหรัฐฯรายหนึ่งบอกกับเอเอฟพีว่า รัสเซียได้ส่งหน่วยปืนใหญ่และรถถัง 7 คันไปยังสนามบินทหารแห่งหนึ่งในซีเรียในฐานะส่วนหนึ่งของความเคลื่อนไหวเพื่อเสริมบทบาททางทหารของพวกเขาที่นั่น
การเพิ่มขึ้นของยุทธภัณฑ์รัสเซียในซีเรียได้ทำให้ฝ่ายตะวันตกเป็นกังวลว่ามอสโคอาจมีเจตนาให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่อัสซาดซึ่งเป็นพันธมิตรกันมาช้านาน
รัสเซียปฏิเสธว่าไม่ได้กำลังขยายบทบาททางทหารของตนในซีเรียแต่ให้คำมั่นว่าจะคอยสนับสนุนอัสซาดต่อไป
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ หลายคนแสดงความกังวลว่ารัสเซียอาจโจมตีกลุ่มกบฏที่ตะวันตกหนุนหลังซึ่งกำลังสู้รบกับอัสซาดอยู่ และท้ายที่สุดอาจเผชิญหน้ากับกองกำลังที่กำลังสู้รบกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส)
มอสโคกำลังผลักดันให้จัดตั้งแนวร่วมของกองกำลังต่างๆ ที่จะปราบปรามกลุ่มไอเอสโดยครอบคลุมหลายฝ่ายมากกว่านี้ แต่ผู้เล่นรายสำคัญในภูมิภาคอย่างซาอุดีอาระเบียประกาศชัดว่าจะไม่มีทางต่อสู้เคียงข้างอัสซาดเด็ดขาด
ปูตินกล่าวว่า อัสซาดมีความเต็มใจที่จะทำงานร่วมกับฝ่ายต่อต้านในซีเรียที่ “เพียบพร้อม” เพื่อหาทางออกทางการเมืองให้กับสงครามกลางเมืองนาน 4 ปีครึ่งนี้ แต่ยืนกรานว่าการปราบไอเอสคือสิ่งสำคัญที่สุด
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความจำเป็นที่ต้องรวมกองกำลังต่างๆ ให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อต่อสู้กับการก่อการร้ายได้มาอยู่ตรงหน้าแล้วในวันนี้”
ประมุขเครมลินได้กล่าวโจมตีผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์การที่มอสโกสนับสนุนรัฐบาล “ที่ชอบธรรม” ของซีเรีย และระบุว่า วิกฤตผู้อพยพที่สั่นคลอนยุโรปอยู่ในปัจจุบันจะเลวร้ายยิ่งกว่านี้อีก หากรัสเซียไม่สนับสนุนอัสซาด
“หากรัสเซียไม่สนับสนุนอัสซาด สถานการณ์ในประเทศนี้จะเลวร้างยิ่งกว่าในลิเบียและการไหล่บ่าของผู้ลี้ภัยจะมากยิ่งกว่านี้” เขากล่าว
สงครามกลางเมืองซีเรียที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ต้นปี 2011 คร่าชีวิตพลเมืองไปแล้วราว 250,000 คน และกระตุ้นชาวซีเรีย 23 ล้านคนต้องอพยพทิ้งถิ่นฐาน โดยหลายแสนคนมุ่งหน้าไปยังสหภาพยุโรปเพื่อหวังตั้งต้นชีวิตใหม่