รอยเตอร์ – ผู้แทนรัฐบาลยูเครน รัสเซีย และกบฏแบ่งแยกดินแดนนิยมมอสโก มีมติเห็นพ้องวานนี้ (26 ส.ค.) ว่าจะพยายามยุติการใช้อาวุธ เพื่อให้ข้อตกลงหยุดยิงกรุงมินสก์มีผลบังคับอย่างสมบูรณ์ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. เป็นต้นไป ผู้แทนองค์กรว่าด้วยความร่วมมือและความมั่นคงในยุโรป (OSCE) เผย
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัฐบาลยูเครนและกบฏโปรรัสเซียได้ทำข้อตกลงให้กองกำลังของทั้ง 2 ฝ่ายในภาคตะวันออกของประเทศยุติการใช้อาวุธ และให้มีกระบวนการทางการเมืองควบคู่กันไป เช่น แผนจัดการเลือกตั้งท้องถิ่น และการให้อำนาจปกครองตนเองอย่างจำกัดในแคว้นที่กบฏยึดครองอยู่ แต่ถึงกระนั้นเหตุปะทะด้วยปืนใหญ่และอาวุธประเภทอื่นๆ ก็ยังคงเกิดขึ้นเรื่อยมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น ทั้งพลเรือน ทหารยูเครน และสมาชิกกลุ่มแบ่งแยกดินแดน โดยต่างฝ่ายต่างก็กล่าวโทษซึ่งกันและกันว่าเป็นผู้ละเมิดสัญญาก่อน
“กลุ่มสื่อสารทั้ง 3 ฝ่ายเห็นตรงกันว่า การบรรลุซึ่งข้อตกลงหยุดยิงที่มีผลเป็นรูปธรรมภายในต้นปีการศึกษาหน้าคือสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง” มาร์ติน ไซดิก เจ้าหน้าที่ OSCE ให้สัมภาษณ์ที่กรุงมินสก์ เมืองหลวงของเบลารุส หลังจากที่ “กลุ่มสื่อสาร” ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนยูเครน รัสเซีย และฝ่ายกบฏ ได้ร่วมหารือกันโดยมี OSCE รับหน้าที่คนกลาง
“มีข้อเสนอให้หยุดยิงโดยสิ้นเชิงตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. เป็นต้นไป ดังนั้น เราจึงมีความหวังว่า ตั้งแต่ 1 ก.ย. การยิงปะทะคงจะไม่เกิดขึ้นอีก... ทั้ง 3 ฝ่ายแสดงเจตนารมณ์ที่จะปฏิบัติตามข้อเสนอนี้” วลาดิสลาฟ เดย์เนโก ผู้นำฝ่ายกบฏแบ่งแยกดินแดน ระบุ
โฆษกกองทัพยูเครนแถลงวานนี้ (26) ว่า มีทหารเสียชีวิตจากเหตุโจมตีโดยกลุ่มกบฏรวม 2 นายในรอบ 24 ชั่วโมงก่อนหน้า
รัสเซียตัดสินใจใช้กำลังผนวกคาบสมุทรไครเมียเมื่อปีที่แล้ว หลังจากอดีตประธานาธิบดี วิกเตอร์ ยานูโควิช แห่งยูเครนผู้มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับมอสโก ถูกโค่นล้มโดยกลุ่มพลเมืองที่โปรสหภาพยุโรป ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวกลายเป็นชนวนนำมาสู่สงครามในยูเครนตะวันออกซึ่งคร่าชีวิตประชาชนไปแล้วกว่า 6,500 คน