เอเอฟพี - ออสเตรเลียประกาศระบบเตือนภัยก่อการร้ายแบบใหม่ที่มีความชัดเจนกว่าเดิมในวันนี้ (23 ก.ค.) ขณะที่ประเทศนี้กำลังเผชิญกับสิ่งที่นายกรัฐมนตรี โทนี แอ็บบอตต์ เรียกว่าเป็นภัยคุกคามจากลัทธิหัวรุนแรงครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ และรัฐบาลได้ร่างยุทธศาสตร์ระยะยาวออกมาเพื่อรับมือกับหายนะดังกล่าวแล้ว
ระบบใหม่ดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ภายในปีนี้ โดยระดับเตือนภัยคุกคามใหม่นี้ประกอบด้วยระดับเกิดขึ้นแน่นนอน, คาดการณ์ว่าจะเกิด, น่าจะเกิด, เป็นไปได้ที่จะเกิด และไม่คาดว่าจะเกิด ซึ่งแอ็บบอตต์ระบุว่า สาธารณชนจะเข้าใจได้ง่ายมากกว่า
“ณ เวลานี้ ระดับเตือนภัยคุกคามก่อการร้ายคือ สูงสุด, สูง, ปานกลาง และต่ำ เราได้มีการตีความระดับเหล่านั้นกันใหม่เล็กน้อย” เขากล่าวภายหลังการประชุมซัมมิทในนครซิดนีย์ร่วมกับผู้นำรัฐและดินแดน 9 แห่งของประเทศนี้
“การเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ตามกับระดับภัยคุกคามภายใต้ระบบใหม่นี้จะมาพร้อมการแถลงให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าระดับภัยคุกคามใหม่นี้หมายถึงอะไร, ภัยคุกคามกำลังมาจากที่ไหน, อะไรที่อาจตกเป็นเป้าหมาย และการโจมตีอาจมาในรูปแบบไหน”
รัฐบาลมีความกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับการไหลหลั่งของนักรบไปยังอิรักและซีเรียเพื่อเข้าร่วมกับกลุ่มติดอาวุธต่างๆ เช่น กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) โดยชาวออสเตรเลียตบเท้าเข้าไปในภูมิภาคดังกล่าวแล้วราว 120 คน และ 160 คนให้การสนับสนุนทางตรงกับองค์กรหัวรุนแรงต่างๆ ด้วยการจัดหาเงินทุนและสมาชิกใหม่ไปให้
ระดับเตือนภัยก่อการร้ายของแดนจิงโจ้ถูกปรับขึ้นเป็นระดับสูงในเดือนกันยายนปีที่แล้ว และนับตั้งแต่นั้นมาได้มีเหตุโจมตีเกิดขึ้น 2 ครั้ง คือ เหตุแทงตำรวจ 2 นายในเมืองเมลเบิร์น และเหตุจับตัวประกันที่คาเฟ่แห่งหนึ่งในนครซิดนีย์ และมีการโจมตี 6 ครั้งที่ถูกขัดขวางเอาไว้ได้ ทั้งนี้อ้างจากรัฐบาล
“ปัจจุบันออสเตรเลียกำลังเผชิญกับภัยคุกคามอย่างมีนัยสำคัญที่สุดจากการก่อการร้ายในประวัติศาสตร์ของชาติเรา” แอ็บบอตต์กล่าว “ภัยคุกคามการก่อการร้ายมีอยู่จริงและยังคงค่อยๆ แผ่ขยายและพัฒนาขึ้น”
ในฐานะส่วนหนึ่งของความพยายามรับมือกับพวกลัทธิหัวรุนแรง รัฐบาลได้เผยแพร่ยุทธศาสตร์ระยะยาวอันใหม่ที่มุ่งเน้นที่การให้ข้อมูลแก่สังคมเกี่ยวกับภัยคุกคามการก่อการร้ายและสิ่งรัฐบาลกำลังทำอยู่เพื่อตอบโต้ภัยคุกคามเหล่านั้น
ยุทธศาสตร์นี้มุ่งเน้นที่องค์ประกอบหลัก 5 อย่าง รวมถึงการขัดขวางแนวคิดหัวรุนแรง, การยับยั้งไม่ให้ประชาชนกลายเป็นผู้ก่อการร้ายโดยการทำงานร่วมกับสมาชิกในชุมชนเพื่อระบุตัวผู้ที่มีความเสี่ยงสูงสุด และการสกัดกั้นกิจกรรมก่อการร้ายแต่เนิ่นๆ
ยุทธศาสตร์นี้ยังให้ความสำคัญกับการปรับปรุงการตอบสนองและเตรียมความพร้อมเมื่อมีเหตุโจมตีเกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็รักษาความสัมพันธ์อันเหนี่ยวแน่นกับกลุ่มพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐฯ ซึ่งกำลังปราบปราบกลุ่มติดอาวุธต่างๆ อย่างกลุ่มไอเอส
“ความสามารในการฟื้นตัวและการร่วมไม้ร่วมมือกันของสังคมเราคือเครื่องป้องกันลัทธิหัวรุนแรงที่ดีที่สุดของเรา” แอ็บบอตต์กล่าว “มันคือสิ่งสำคัญที่สุดของเราในการป้องกัน, ตอบสนอง และฟื้นตัวจากการโจมตีครั้งใหญ่ของผู้ก่อการร้าย”