เอเอฟพี/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - เมื่อวานนี้ (15 มิ.ย.) เจบ บุช (Jeb Bush) วัย 62 ปีอดีตผู้ว่าการรัฐฟลอริดา น้องชายของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช และบุตรชายคนเล็กของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช ประกาศอย่างเป็นทางการที่ไมอามี เดด คอลเลจ (Miami Dade College) เพื่อลงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2016 โดยยืนยันว่าประชาชนชาวสหรัฐฯ สมควรจะได้สิ่งที่ดีมากไปกว่านี้หลังจาก 8 ปีที่ยาวนานของบารัค โอบามาแห่งเดโมแครต ซึ่งการประกาศลงชิงการสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯของบุชคนที่ 3นี่ถือเป็นนัดล้างตาอีกครั้งระหว่างตระกูลบุชและตระกุลคลินตันนับตั้งแต่ปี 1992
เอเอฟพีรายงานวันนี้ (16) ว่า หลังจาก 6 เดือนของการอุ่นเครื่องหยั่งเชิงของเจบ บุช (Jeb Bush) วัย 62 ปี อดีตผู้ว่าการรัฐฟลอริดา น้องชายของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช และ บุตรชายคนเล็กของอดีตประธานาธิบดี จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช และไม่นับการที่บุชผู้พี่ได้เคยเปรยกับผู้สื่อข่าวในเดือนตุลาคม 2014 ว่า “เจบต้องการ “ทำเนียบขาว” ทั้งนี้ในวันจันทร์ (15) บุชคนที่ 3 ของตระกุล หรือที่รู้จักในนาม “เจบ” ในสหรัฐฯ ได้ประกาศลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯปี 2016 ที่ไมอามี เดด คอลเลจ (Miami Dade College) รัฐฟลอริดาว่า “ผมตัดสินใจแล้วว่า ผมจะลงสมัครท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ” เจบกล่าว
ทั้งนี้ เจบ บุช ผู้ที่ถูกสังคมอเมริกันสงสัยในความสามารถจากการที่ทั้งพ่อและพี่ชายดำรงตำแหน่งในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 41 และคนที่ 43 แต่ในทางกลับกันเป็นเพราะความเป็นบุชทำให้ดูเหมือนว่าตัวแทนผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันอย่างเป็นทางการจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมเมื่อเทียบกับผู้สมัครรายอื่นๆ ที่เปิดตัวไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น แรนด์ พอล มาร์โก รูบิโอ เท็ด ครูซ สก็อต วอล์กเกอร์ หรือ เจย์ คาร์สัน
ในการเปิดแถลงการลงรับสมัครนั้น เจบได้แสดงวิสัยทัศน์ทางการเมืองที่เจบ บุชต้องการให้ผู้คนต่างรับรู้ว่าเขามีความเห็นต่างจากบุชผู้พี่อย่างไร รวมไปถึงความสำเร็จของการเป็นผู้ว่าการรัฐฟลอริดา 2 สมัยซ้อน “เราสามารถทำให้ฟลอริดาติดอันดับ 1 ในการเป็นรัฐที่มีการสร้างงานมากที่สุด รวมไปถึงอันดับ 1 ในการเป็นรัฐที่มีการสร้างธุรกิจขนาดเล็กมากที่สุด” เจบกล่าว และยังอ้างไปถึงความสำเร็จที่สามารถหั่นภาษีลงได้ถึง 19 พันล้านดอลลาร์
“ผมรู้ว่าเราสามารถแก้ไขได้เพราะผมทำมาแล้ว” เจบกล่าวต่อ และยืนยันอย่างหนักแน่นว่า “ผมจะหยุดฟังเสียงหัวใจของทุกคน และผมจะใช้หัวใจของตัวเองในการแข่งขันเพื่อเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯในครั้งนี้”
และเอเอฟพียังรายงานเพิ่มเติมว่า และหนึ่งในหัวข้อที่เจบกล่าวเมื่อวานนี้(15)ที่เมืองไมอามี เจบยังคงโจมตีการทำงานของรัฐบาลพรรคเดโมแครต บารัค โอบามา เหมือนเช่นเคย โดยเขาวิจารณ์การทำงานด้านการต่างประเทศว่า เป็นประเภท “นโยบายต่างประเทศแบบโฟนอิน” ของคู่หูดูโอ “โอบามา-เคร์รีย์” ที่เจบ บุชให้นิยามถึงความล้มเหลวด้านการต่างประเทศสหรัฐฯในสมัยรัฐบาลชุดปัจจุบันว่า “ วิกฤตที่ไม่อาจควบคุม ความรุนแรงที่ไม่สามารถระงับ เกิดศัตรูที่ไม่รู้จักชื่อ เพื่อนที่ไม่อาจปกป้อง และการแตกแยกของพันธมิตร”
ทั้งนี้ เจบกล่าวกับผู้สนับสนุนในไมอามี เดด คอลเลจ ในวันจันทร์ (15) ว่า “คุณและผมต่างรู้ดีว่าอเมริกาสมควรที่จะได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้”
ในขณะที่ทางฝั่งเดโมแครต ก่อนหน้านั้นในวันเสาร์ (13) ฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2016 เปิดแคมเปญทางการเมืองครั้งใหญ่บนเกาะรูสเวลต์ รัฐนิวยอร์ก โดยอดีตรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯใช้เวลากว่า 50 นาทีเป็นครั้งแรกในการหาเสียงบนเวทีใหญ่อย่างเป็นทางการที่มีผู้คนจับจ้องทั้งประเทศ
ทั้งนี้ คลินตันกล่าวไฮด์ปาร์กโดยอ้างอิงถึงนโยบาย “รีบิลด์อเมริกา” เพื่อกลับมาให้ยิ่งใหญ่อีกครั้งตามแบบอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ แฟรงกลิน ดี รูสเวลต์ หรือ FDR ผู้โด่งดังใน 4 หลักการเสรีภาพ
“ความเท่าเทียมเพื่อโอกาส งานสำหรับทุกคน และความมั่นคงและปลอดภัยต่อประชาชนสหรัฐฯ การสิ้นสุดสำหรับอภิสิทธิ์ชน การคงอยู่ของสิทธิพลเมืองสหรัฐฯ รวมไปถึงการทำให้ความเป็นอยู่ของประชาชนสหรัฐฯนั้นดีขึ้นและมีสังคมชนชั้นกลางขยายตัวกว้างขึ้น ซึ่งทุกอย่างนั้นเป็นสิ่งที่ดิฉันเห็นด้วยอย่างที่สุด” คลินตันกล่าว และเสริมต่อว่า ถือเป็นสิ่งที่รู้กันดีในอเมริกาที่ว่า หากทุกคนทำหน้าที่ของตนเองอย่างสุดความสามารถ ทุกคนจะประสบความสำเร็จ และหากประชาชนอเมริกันสามารถเดินหน้าและประสบความสำเร็จ เป็นที่แน่ชัดว่า อเมริกาจะเดินไปข้างหน้าและเข้มแข็ง”
โดยคลินตันชี้ว่า ที่ผ่านมามีเพียง 2 ผู้นำสหรัฐฯ ที่ดำเนินตามรูสเวลต์ในการสร้าง “ความเท่าเทียม” เพื่อคนทั้งชาติคือ อดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน สามีของเธอ และประธานาธิบดี บารัค โอบามา อดีตผู้บังคับบัญชา โดยเธอให้ความเห็นว่า ทุกคนไม่ว่าจะเป็นผิวขาว ผิวสี ละตินอเมริกา หรือเอเชีย ไม่ว่าจะร่ำรวย หรือยากจน ในอเมริกา ทุกคนควรมีโอกาสเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนอเมริกาไปข้างหน้า เพราะหากทุกคนทำงานอย่างหนักตามกติกา ประเทศจะสามารถเดินหน้าได้และกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง โดยคลินตันต้องการให้อเมริกาเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสีเขียว และเด็กชาวอเมริกันทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาก่อนวัยเรียน และอนามัยและการดูแลของเด็ก รวมไปถึงการไม่เท่าเทียมในเงินเดือนระหว่างหญิงและชายในสหรัฐฯต้องหมดไป ที่ผู้หญิงอเมริกาได้ค่าแรง 70 เซนต์ทุก 1 ดอลลาร์ที่ชายอเมริกันได้รับในตำแหน่งและความรับผิดชอบเดียวกัน
ทั้งนี้ การลงชิงสมัครประธานาธิบดีสหรัฐฯปี 2016 เป็นที่จับตาของคนทั้งโลก เพราะเป็นการพบกันอีกครั้งในสนามการเลือกตั้งระหว่างตระกูลสำคัญทางการเมืองสหรัฐฯ 2 ตระกูลคือระหว่าง บุช และคลินตัน ซึ่งในปี 1992 อดีตประธานาธิบดี จอร์จ เอชดับเบิลยู บุช ผู้พ่อต้องพ่ายให้กับการลงสมัครชิงตำแหน่งสมัยที่ 2 ให้กับอดีตผู้ว่าการรัฐอาร์คันซอ หนุ่มใหญ่ไฟแรงอย่าง บิล คลินตัน สามีของฮิลาราลี คลินตัน ในขณะนั้น
เจบ บุช นอกจากต้องพบกับฮิลลารี ผู้ที่ได้ชื่อว่ามีชื่อเสียง และผู้คนต่างทึ่งในความสามารถของเธอนับตั้งแต่สามีของเธอ บิล คลินตัน ยังคงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯในช่วงปี 1993-2001 แล้ว และอีกทั้งเธอยังได้แสดงความสามารถในฐานะอดีตรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งเธอถือเป็นผู้หญิงคนที่ 3 ที่ดำรงตำแหน่งระดับสูงนี้
เจบ ยังต้องตอบคำถามต่อสังคมถึงนโยบายสงครามที่ชาวสหรัฐฯยังต้องการทราบว่า เขามีความเห็นอย่างไรต่อสงครามอิรักที่จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ผู้เป็นพี่ชายทำให้อเมริกาต้องติดหล่มอยู่เป็นเวลานาน และชาวสหรัฐฯ ต่างเบื่อหน่ายในการต้องส่งญาติของตนไปสู้รบในสงครามคนอื่นร่วม 10ปีและกลับมาในสภาพไร้ซึ่งแขนและขา และยังนำมาสู่เศรษฐกิจถดถอยในประเทศในเวลาต่อมาอีกด้วย
ในช่วงระยะเวลา 6 เดือนของการอุ่นเครื่องก่อนประกาศลงชิงสมัครนั้น เจบต้องตอบคำถามถึงสงครามอิรักนับครั้งไม่ถ้วน และยังเคยถูก ไอวี ซีดริช (Ivy Ziedrich) วัย 19 ปี นักศึกษาระดับปริญญาตรีมหาวิทยาลัยรัฐเนวาดาตะโกนใส่หน้าในระหว่างที่เขาและคณะเดินทางไปเยือนในเดือนพฤษภาคมล่าสุดว่า “บุชพี่ชายของคุณเป็นคนสร้างกลุ่มก่อการร้ายไอเอสขึ้นมา” และทำให้เจบต้องตอบคำถามชี้แจงนักศึกษาหญิงผู้นั้นอย่างใจเย็นกลับไปต่อหน้ากล้องโทรทัศน์ที่เฝ้าจับตาสังเกตอาการเขาอยู่ในเวลานั้น