เอเอฟพี – รัฐสภามาเลเซียผ่านร่างแก้ไขกฎหมายห้ามปลุกระดม (Sedition Act) โดยเพิ่มระวางโทษจำคุกสูงสุดเป็น 20 ปีเมื่อเช้าวันนี้ (10 เม.ย.) ท่ามกลางเสียงติเตียนจากองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) และนักการเมืองฝ่ายค้านที่ยกให้วันนี้เป็น “วันแห่งความมืดมน” ของประชาธิปไตยและเสรีภาพด้านการแสดงออกในแดนเสือเหลือง
เป็นครั้งที่ 2 ในรอบสัปดาห์ที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัก ได้ผ่านร่างกฎหมายซึ่งนักสิทธิมนุษยชนประณามว่าเป็นการละเมิดสิทธิพลเมืองขั้นรุนแรง โดยเมื่อวันอังคาร(7) ก็เพิ่งประกาศใช้กฎหมายต่อต้านก่อการร้ายที่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่รัฐกักขังบุคคลต้องสงสัยโดยไม่ต้องแจ้งข้อหา
กฎหมายฉบับแก้ไขได้เพิ่มโทษจำคุกฐานปลุกระดมสูงสุดจาก 3 ปีเป็น 20 ปี และกำหนดโทษจำคุกขั้นต่ำ 3 ปีในบางกรณี นอกจากนี้ยังห้ามประชาชนใช้อินเทอร์เน็ตเผยแพร่สื่อที่ยั่วยุให้เกิดความแตกแยก ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลว่ารัฐจะใช้มาตรการเซ็นเซอร์เว็บไซต์
ระหว่างหาเสียงเลือกตั้งเมื่อปี 2013 นายกฯ นาจิบ เคยให้สัญญาว่าจะยกเลิกกฎหมายห้ามปลุกระดมซึ่งใช้มาตั้งแต่ยุคอาณานิคม แต่หลังจากกลุ่มแนวร่วม บาริซาน เนชันแนล (บีเอ็น) ชนะเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงตกต่ำเป็นประวัติการณ์ นาจิบ ก็กลับใช้กฎหมายฉบับนี้เป็นเครื่องมือกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม และได้ประกาศเมื่อปีที่แล้วว่ารัฐบาลจะยังคงกฎหมายห้ามปลุกระดมเอาไว้ แถมจะแก้ไขให้เข้มงวดยิ่งขึ้นด้วย
“เพื่อให้เราสามารถคงความเป็นรัฐที่มีเสถียรภาพ และประชาชนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ กฎหมายห้ามปลุกระดมจำเป็นต้องมีต่อไป” ผู้นำมาเลเซียเอ่ยในบทสัมภาษณ์ที่เผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์แห่งชาติวานนี้ (9)
ร่างแก้ไขกฎหมายผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาเสือเหลืองเมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา แม้ฝ่ายค้านจะพยายามเตะสกัดเต็มที่ แต่ก็ไม่เป็นผล
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยอมอ่อนข้อให้กับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ โดยตัดเนื้อหาส่วนที่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ปฏิเสธการขอประกันตัวผู้ต้องหา และไม่ห้ามการตำหนิติเตียนรัฐบาล และยังคงเอาผิดการเผยแพร่สื่อที่เสี้ยมให้เกิดความเกลียดชังระหว่างศาสนา
เอ็น. สุเรนดรัน ส.ส.ฝ่ายค้านคนหนึ่ง กล่าวว่า “วันนี้เป็นวันแห่งความมืดมนสำหรับประชาธิปไตยในมาเลเซีย จะไม่มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอีกต่อไปภายใต้กฎหมายกดขี่ฉบับนี้”
ด้านองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนชี้ว่า คำว่า “ปลุกระดม” สามารถตีความได้กว้างขวาง จึงอาจถูกรัฐใช้เป็นเครื่องมือกดขี่ฝ่ายตรงข้าม ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลมาเลเซียก็มีประวัติฉาวโฉ่ในเรื่องนี้อยู่แล้ว
เซอิด ราอัด อัล-ฮุสเซน ข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนยูเอ็น เรียกร้องเมื่อวานนี้(9) ให้มาเลเซียยกเลิกกฎหมายปลุกระดมเสีย
“ช่างน่าผิดหวังที่รัฐบาลจะทำให้กฎหมายฉบับนี้เลวร้ายลงไปอีก” เซอิด กล่าว
องค์กรฮิวแมนไรต์วอตช์ ตำหนิการแก้กฎหมายครั้งนี้ว่าเป็น “หายนะด้านสิทธิมนุษยชนในมาเลเซีย ซึ่งจะส่งผลร้ายแรงต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน ทั้งในชีวิตประจำวัน และการสื่อสารผ่านระบบออนไลน์”