รอยเตอร์ – ออสเตรเลียประกาศในวันนี้ (3) ว่า พวกเขากำลังบังคับให้บริษัทสัญชาติจีนเจ้าของคฤหาสน์มูลค่า 39 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 987 ล้านบาท) ในซิดนีย์ทำการขายอสังหาริมทรัพย์แห่งนี้ภายในระยะเวลา 90 วัน โดยถือเป็นการเดินหน้ากวาดล้างการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่พักอาศัยจากต่างชาติเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา
เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา คฤหาสน์ “วิลลา เดล แมร์” (Villa del Mare) ถูกซื้อไปอย่าง “ผิดกฎหมาย” โดยบริษัทโกลเด้นฟาสต์ฟูด ซึ่งมีบริษัท เอเวอแกรนด์ เรียล เอสเตท กรุ๊ป ที่จดทะเบียนในฮ่องกงเป็นเจ้าของ โดยผ่านทางพวกบริษัทลม (shell company) ในออสเตรเลีย , ฮ่องกง และหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง โจ ฮอกกี กล่าวในถ้อยแถลง
เอเวอร์แกรนด์ บริษัทพัฒนาที่ดินที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ในแดนมังกร เป็นกิจการของ ซู่ เจี้ยนอิ๋น บุรุษผู้รวยเป็นอันดับ 15 ของจีนด้วยทรัพย์สินสุทธิราว 6.4 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2 แสนล้านบาท) ทั้งนี้ตามข้อมูลจากนิตยสารฟอร์บส์
อย่างไรก็ตาม บริษัทแห่งนี้ยังไม่พร้อมออกมาให้ความคิดเห็นในตอนนี้
ชาวต่างชาติในแดนจิงโจ้ถูกจำกัดให้ซื้อได้เฉพาะอสังหาริมทรัพย์ใหม่เท่านั้น และคฤหาสน์วิลลา เดล แมร์อันใหญ่โตก็ไม่ใช่ของใหม่ การสืบสวนของคณะกรรมาธิการรัฐสภาในปีที่แล้วพบการละเมิดระบบดังกล่าวอย่างแพร่หลายในประเทศนี้ ซึ่งเป็นที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์ที่แพงที่สุดในโลกบางส่วน
“ภายใต้นโยบายการลงทุนจากต่างชาติของออสเตรเลีย การลงทุนจากต่างชาติควรทำให้คลังเคหะ (housing stock) ของออสเตรเลียเพิ่มขึ้น ชาวต่างชาติที่มิได้มีถิ่นพำนักประจำในประเทศ (non-resident) ไม่สามารถซื้อเคหสถานที่สร้างไว้แล้วในฐานะที่อยู่หรือการลงทุน” ถ้อยแถลงของ ฮอกกี ระบุ
เมื่อเดือนที่แล้ว ออสเตรเลียประกาศแผนที่จะตั้งข้อหาชาวต่างชาติที่ซื้อกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ที่พักอาศัย และปรับผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายการลงทุนต่างชาติ โดยถือเป็นความพยายามที่จะทำให้หนึ่งในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ร้อนแรงที่สุดของโลกแห่งนี้เย็นลง
คณะกรรมการทบทวนการลงทุนจากต่างชาติของแดนจิงโจ้ ระบุว่า จีน ซึ่งกำลังพยายามจัดการกับทุนไหลออกที่ผิดกฎหมาย (capital flight) คือที่มาของการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จากต่างชาติอันดับ 1 ในปี 2013 ด้วยมูลค่าการลงทุนสูงถึง 6 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 1.5 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 41 เปอร์เซ็นต์
