สถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครนตะวันออกยังเป็นที่น่าจับตามอง ภายหลังข้อตกลงหยุดยิงระหว่างยูเครนกับฝ่ายกบฏที่ทำขึ้น ณ กรุงมินสก์ของเบลารุสเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนส่อแววจะล่มไม่ท่า เห็นได้จากการที่ฝ่ายกบฏเดินหน้ายึดศูนย์กลางเชื่อมต่อระบบราง “เดบอลต์เซเว” (Debaltseve) จนทหารยูเครนต้องเป็นฝ่ายล่าถอย อีกทั้งการโจมตีหมู่บ้านใกล้ๆ เมืองท่ามารีอูโพล (Mariupol) ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญอีกแห่งที่กบฏต้องการครอบครอง
ในการประชุมหารือที่กรุงปารีสเมื่อวันอังคาร (24 ก.พ.) รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส เยอรมนี รัสเซีย และยูเครน ได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพข้อตกลงหยุดยิงกรุงมินสก์ และดำเนินการถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่แนวหน้า ขณะที่นายกรัฐมนตรี เดวิด คาเมรอน แห่งอังกฤษประกาศจะส่งทหาร 75 นายเข้าไปช่วยฝึกยุทธวิธีและให้คำแนะนำแก่กองกำลังยูเครน ทว่าจะไม่ส่งอาวุธหนักให้ เพราะยังเชื่อว่าความขัดแย้งควรจะยุติลงด้วยการเจรจาทางการทูตเป็นหลัก
อย่างไรก็ดี ข้อตกลงหยุดยิงที่ถูกละเมิดอย่างต่อเนื่องกำลังบ่อนทำลายความเชื่อมั่นระหว่างคู่สงครามลงไปทุกที
พาฟโล คลิมกิน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศยูเครน ยอมรับว่าการเจรจาที่ปารีสซึ่งกินเวลา 3 ชั่วโมงไม่บรรลุผลที่เป็นชิ้นเป็นอัน เพียงแต่หารือปัญหาเชิงเทคนิคกันเท่านั้น “น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ทุกฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ว่าจะประณามสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองเดบอลตเซเวอย่างไร” เขากล่าว
ยูเครนกล่าวหาว่ากลุ่มแบ่งแยกดินแดนนิยมรัสเซียฉวยโอกาสยึดเมืองเดบอลต์เซเวซึ่งเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อรถไฟทั้งๆ ที่ข้อตกลงหยุดยิงเริ่มมีผลบังคับไปแล้วเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ในขณะที่พวกกบฏและรัสเซียแก้ต่างว่า เมืองนี้อยู่ “ภายใน” เขตปกครองของฝ่ายกบฏ จึงไม่ได้ถูกครอบคลุมจากข้อตกลงหยุดยิง
แม้การสู้รบจะสงบลงไปมากหลังจากที่ทหารยูเครนถอนกำลังออกจากเดบอลต์เซเว และยังปรากฏสัญญาณที่ดีเมื่อทั้ง 2 ฝ่ายได้มีการแลกเปลี่ยนนักโทษราว 200 คนในช่วงค่ำวันเสาร์ (21) และบรรลุข้อตกลงเริ่มถอนอาวุธหนักออกจากแนวหน้าในวันอาทิตย์ (22) ทว่าหลังจากนั้นไม่นานกลับมีการปะทะเกิดขึ้นหลายระลอกตามจุดยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะที่เมืองท่ามารีอูโพล
ยูเครนอ้างว่า ฝ่ายกบฏพยายามที่จะบุกเข้าโจมตีหมู่บ้านชืย์โรคีเนซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของมารีอูโพล และมีทหารเสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บอีก 7 นายจากการปะทะในรอบ 24 ชั่วโมง
การสู้รบกันไม่เลิกเช่นนี้กลายเป็นอุปสรรคสำหรับปฏิบัติการขั้นต่อไปของข้อตกลงกรุงมินสก์ อันได้แก่การให้ทั้งสองฝ่ายถอนอาวุธหนักออกไปเพื่อสร้างเขตกันชนตรงกลางขึ้นมา
กองทัพยูเครนปฏิเสธไม่ยอมถอนอาวุธหนักของฝ่ายตนจากแนวรบ จนกว่าการยิงต่อสู้จะหยุดลงจริงๆ ขณะที่ฝ่ายกบฏอ้างหลายครั้งว่าพวกเขาเริ่มถอนปืนใหญ่และระบบขีปนาวุธของฝ่ายตนแล้ว ทว่าเรื่องนี้ก็ยังไม่ได้รับการยืนยันจากคณะตรวจสอบขององค์การเพื่อความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSCE)
วลาดิสลาฟ เซเลซนยอฟ โฆษกกองทัพยูเครน ระบุว่า “ตราบใดฐานที่มั่นของทหารยูเครนยังถูกถล่มไม่หยุด ก็คงพูดเรื่องการถอนอาวุธไม่ได้”
แฟรงก์-วอลเตอร์ สไตน์ไมเออร์ รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี กล่าวเตือนว่า หากฝ่ายกบฏยังพยายามที่จะขยายดินแดน หรือแม้กระทั่งคิดยึดเมืองท่ามารีอูโพล “ก็จะเป็นการทำลายพื้นฐานข้อตกลงกรุงมินสก์ทั้งหมด” เช่นเดียวกับ โลรองต์ ฟาเบียส รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสที่ออกมาขู่ว่า มอสโกจะต้องถูกสหภาพยุโรปคว่ำบาตรหนักขึ้นหากปล่อยให้พวกกบฏโจมตีมารีอูโพล ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในความควบคุมของรัฐบาลยูเครน
“สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงเวลานี้อยู่ที่มารีอูโพล เราแจ้งให้รัสเซียทราบชัดเจนแล้วว่า หากกลุ่มแบ่งแยกดินแดนคิดจะโจมตีมารีอูโพล สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่เว้นกระทั่งเรื่องคว่ำบาตร”
อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ต่อสถานีโทรทัศน์ของรัสเซียว่า สงครามสู้รบเต็มขั้นชนิด “โลกาวินาศ” ระหว่างรัสเซียกับยูเครนคงไม่เกิดขึ้น และยืนยันว่าข้อตกลงหยุดยิงมินสก์เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการฟื้นเสถียรภาพยูเครนตะวันออก
“ผมคิดว่าสถานการณ์แบบโลกาวินาศเช่นนั้นไม่น่าที่จะเกิดขึ้น และผมหวังว่ามันจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นมาเลย... ถ้าหากข้อตกลงมินสก์ได้รับการปฏิบัติตาม ผมก็แน่ใจว่าสถานการณ์จะค่อยๆ กลับคืนสู่ปกติ”
ปูติน ยังเสริมอีกว่า “ไม่มีใครต้องการความขัดแย้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความขัดแย้งด้วยกำลังอาวุธซึ่งเกิดขึ้นที่บริเวณชายขอบของยุโรป”
ผู้นำรัสเซียย้ำอีกครั้งว่า มอสโกไม่ได้ส่งกองกำลังหรืออาวุธยุทโธปกรณ์ไปช่วยหนุนหลังกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในยูเครนตะวันออก และชี้ว่าข้อกล่าวหาเช่นนี้เป็นเพียงความพยายามปิดบังความรู้สึก “เสียหน้า” ของกรุงเคียฟที่ต้องพ่ายแพ้ให้กลุ่มกบฏที่เป็นเพียงกลุ่มคนงานเหมืองแร่และคนขับรถแทรกเตอร์เท่านั้น
ทางด้าน จอห์น เคร์รี รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ก็ได้ออกมาปรามาสผู้นำระดับสูงของรัสเซียว่า “พูดจาโกหกซึ่งหน้า” เกี่ยวกับบทบาทของมอสโกในวิกฤตการณ์ยูเครน พร้อมตำหนิพฤติกรรมของรัสเซียว่าเป็นการ “โฆษณาชวนเชื่อ” ครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่ยุคสงครามเย็น
“รัสเซียกำลังเปิดศึกโฆษณาชวนเชื่ออย่างหนักหน่วงและชัดเจนที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา นับตั้งแต่ยุคสงครามเย็น... หลายครั้งที่อยู่ต่อหน้าผมและคนอื่นๆ พวกเขาก็ยังดึงดันที่จะพูดสิ่งที่ไม่เป็นความจริง หรือจะเรียกว่าโกหกก็ได้ เกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาทำอยู่” เคร์รี แถลงต่อคณะกรรมการจัดสรรงบประมาณแห่งวุฒิสภาสหรัฐฯ เมื่อวันอังคาร (24 ก.พ.)
เคร์รี ยังยืนยันว่า สหรัฐฯ “กำลังแสดงบทบาทที่ดีในการต่อสู้เพื่ออธิปไตยของยูเครน”
สำหรับเมืองท่ามารีอูโพลซึ่งมีประชากรราว 500,000 คนนั้น นอกจากจะเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในพื้นที่ขัดแย้งที่รัฐบาลยังควบคุมไว้ได้แล้ว ยังเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเหล็กกล้าที่มีการจ้างแรงงานหลายพันคน ฝ่ายใดก็ตามที่ครอบครองเมืองนี้จึงถือว่ามีขุมทรัพย์ทางเศรษฐกิจอยู่ในมือ และหากฝ่ายกบฏยึดเมืองแห่งนี้ได้ก็จะสามารถควบคุมท่าเรือสำคัญบนชายฝั่งทะเลอาซอฟได้อีกด้วย
มารีอูโพลยังเป็นเมืองท่าที่ตั้งขวางอยู่ระหว่างแหลมไครเมียกับดินแดนยูเครนตะวันออกซึ่งอยู่ในการยึดครองของกบฏ ดังนั้นการยึดเมืองนี้ได้ก็จะช่วยให้ “โนโวรอสสิยา” หรือ “รัสเซียใหม่” ที่ฝ่ายกบฏประกาศจัดตั้งขึ้นถูกเชื่อมเข้ากับแหลมไครเมียที่มอสโกได้ผนวกเอาไว้ก่อนแล้ว