เอเอฟพี - กองทัพยูเครนเผยเมื่อวันพฤหัสบดี(26ก.พ.) กำลังเริ่มถอนอาวุธหนักออกจากแนวหน้า ความเคลื่อนไหวสนับสนุนแผนสันติภาพที่เปราะบาง ทว่าทางฝั่งสหรัฐฯและรัสเซียยังสาดโคลนกันไปมาเกี่ยวกับวิกฤตความขัดแย้งนี้
คำแถลงถอนอาวุธหนัก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของข้อตกลงสันติภาพที่บรรลุกันเมื่อราวๆกลางเดือน มีขึ้นหลังจากข้อตกลงหยุดยิงที่มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ ได้รับการยึดมั่นจากทั้งสองฝ่ายทั่วโซนขัดแย้งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
"วันนี้(วันพฤหัสบดี) ยูเครนกำลังเริ่มถอนปืนใหญ่ 100มม.ออกจากแถวหน้า" กอลทัพระบุในถ้อยแถลง "นี่คือก้าวย่างแรกของการถอนอาวุธหนักและจะดำเนินการแต่ฝ่ายเดียวภายใต้การตรวจตราและตรวจสอบของ OSCE(องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป)"
การถอนอาวุธทุกชนิดที่มีขนาดลำกล้องมากกว่า 1000มม. มีจุดมุ่งหมายเพื่อสนับสนุนเขตกันชนของสองฝ่ายที่กำลังสู้รบกัน เป็นระยะทางอย่างน้อย 50 และ 140 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับพิสัยของอาวุธ
พวกกบฏยืนยันว่าพวกเขาเริ่มถอนปืนใหญ่ เครื่องยิงจรวดและรถถังออกจากบางพื้นที่แล้ว อย่างไรก็ตามยังไม่มีคำยืนยันจาก OSCE ด้วยทางคณะผู้สังเกตการณ์บอกว่าสองฝ่ายคู่สงครามไม่ได้ให้ข้อมูลที่จำเป็นที่จะสามารถสรุปได้ว่ามีการถอนอาวุธใดๆจริงหรือไม่
ภายใต้เงื่อนไขของแผนสันติภาพที่ลงนามโดยทั้งเคียฟและฝ่ายกบฏเมื่อราวๆกลางเดือน มีจุดมุ่งหมายให้ถอนอาวุธหนักแล้วเสร็จภายใน 14 วัน ทั้งนี้ในส่วนของการสู้รบเบาบางลงอย่างฉับพลันในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยกองทัพยูเครนบอกว่าเป็นวันที่ 2 แล้วที่ไม่มีกำลังพลของพวกเขาเสียชีวิตจากการสู้รบ ยกเว้นแต่ได้รับบาดเจ็บ 4 นาย
อย่างไรก็ตามในขณะที่การสู้รบบรรเทาลง แต่ความตึงเครียดระหว่างตะวันตกกับมอสโกกลับคุกรุ่นยิ่งขึ้น โดยนายจอห์น เคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวต่อสภาคองเกรสในวันพุธ(25ก.พ.) ว่ารัสเซียและกบฏนิยมมอสโกล้มเหลวในการปฏิบัติตามเงื่อนไขของข้อตกลงหยุดยิง
นายเคร์รี บอกด้วยว่าประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ดำเนินนโยบายต่างๆที่ล้วนแต่ละเมิดบรรทัดฐานระหว่างประเทศ ด้านการเคารพต่อเขตแดน เขาใช้อำนาจ ยุยงและอำนวยความสะดวกโดยตรงแก่พวกยึดดินแดน ในความพยายามก่อความไร้เสถียรภาพแก่ยูเครน จนถึงวันนี้ ทั้งรัสเซียและกองกำลังที่พวกเขาสนับสนุน ไม่ได้เฉียดใกล้การทำตามพันธสัญญาเลย" เขากล่าวพร้อมเตือนว่ามอสโกอาจเจอมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติม
กระนั้นทางฝั่งมอสโก โดยนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศ ก็ตอบโต้ว่าคำขู่เกี่ยวกับมาตรการลงโทษรอบใหม่คือหลักฐานชั้นดีที่บ่งชี้ว่าตะวันตกไม่ได้ใส่ใจในความสำเร็จของความพยายามหยุดยั้งการสู้รบที่คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วอย่างน้อย 5,800 ศพ นับตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา