รอยเตอร์ – ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ชี้กรณี โซนี พิคเจอร์ส ถูกแฮกเกอร์เจาะระบบครั้งใหญ่ไม่ใช่การ “ประกาศสงคราม” กับอเมริกา ทว่าอาจมีการทบทวนใส่ชื่อเกาหลีเหนือกลับเข้าบัญชีชาติที่สนับสนุนก่อการร้าย
ความไม่ลงรอยระหว่างสหรัฐฯและเกาหลีเหนือซึ่งมีสาเหตุจากกิจกรรมนิวเคลียร์ส่อเค้าลุกลามสู่ประเด็นใหม่ หลัง โซนี พิคเจอร์ส บริษัทผลิตสื่อบันเทิงชั้นนำแห่งฮอลลีวูด ถูกแฮกเกอร์เจาะระบบและนำข้อมูลลับเฉพาะออกเผยแพร่จนสร้างความเสียหายต่อบริษัทอย่างรุนแรง
โอบามา และทีมที่ปรึกษารัฐบาลกำลังชั่งใจว่าจะลงโทษเกาหลีเหนืออย่างไร หลังจากสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) ได้สรุปผลการสอบสวนเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว(19)ว่า เปียงยางอยู่เบื้องหลังการจารกรรมข้อมูลครั้งนี้
ผู้นำสหรัฐฯ พยายามบรรเทากระแสกดดันให้ตอบโต้โสมแดง โดยชี้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียง “อาชญากรรม” เท่านั้น
“ไม่หรอก ผมไม่คิดว่ามันเป็นการประกาศสงคราม” โอบามา ให้สัมภาษณ์ในรายการ State of the Union ซึ่งเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นเมื่อวันอาทิตย์(21)
“ผมมองว่ามันเป็นการโจมตีทางไซเบอร์ที่สร้างความสูญเสียอย่างร้ายแรง รัฐบาลให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้มาก และเราจะตอบสนองเหตุการณ์นี้อย่างหนักหน่วงไม่แพ้กัน”
โอบามา ชี้ว่าสหรัฐฯ อาจตัดสินใจใส่ชื่อเกาหลีเหนือกลับเข้าบัญชี “รัฐสนับสนุนก่อการร้าย” หลังจากที่ถอดชื่อเปียงยางออกเมื่อ 6 ปีก่อน
ด้านเกาหลีเหนือได้ออกมาขู่วานนี้(21)ว่าจะแก้แค้นสหรัฐฯ อย่างสาสม หากวอชิงตันออกมาตรการลงโทษใดๆ
“ทำเนียบขาว เพนตากอน และแผ่นดินใหญ่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นแหล่งซ่องสุมพวกก่อการร้าย จะต้องเจอปฏิบัติการตอบโต้อย่างรุนแรงที่สุดจากเรา ยิ่งกว่าที่ โอบามา ขู่ว่าจะตอบโต้อย่างหนักหน่วงไม่แพ้กันเสียอีก” ถ้อยแถลงซึ่งเผยแพร่ทางสำนักข่าวเคซีเอ็นเอของเกาหลีเหนือ ระบุ
การเจาะระบบคอมพิวเตอร์และคำขู่โจมตีโรงภาพยนตร์ทำให้ โซนี พิคเจอร์ส ตัดสินใจถอดภาพยนตร์ “ดิ อินเทอร์วิว” ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการลอบสังหารผู้นำ คิม จอง อึน แห่งเกาหลีเหนือ ออกจากโปรแกรมฉายช่วงเทศกาลคริสต์มาส
โอบามา และนักเคลื่อนไหวเพื่อเสรีภาพด้านการแสดงออกต่างวิจารณ์ โซนี ว่าอ่อนข้อให้พวกแฮกเกอร์มากเกินไป ซึ่ง ไมเคิล ลินตัน ซีอีโอของโซนี ก็ได้ออกมาแก้ต่างว่า บริษัทไม่เคยคิดจะยอมแพ้ แต่ที่ต้องถอดหนังเรื่องนี้เพราะเครือโรงภาพยนตร์ส่วนใหญ่ปฏิเสธที่จะฉาย
เดวิด บัวส์ ทนายของโซนี ยืนยันว่า ทางสตูดิโอยังมีแผนที่จะเผยแพร่ภาพยนตร์เรื่องนี้โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง
ระหว่างบันทึกเทปให้สัมภาษณ์ต่อซีเอ็นเอ็นเมื่อวันศุกร์(19) โอบามา ยอมรับว่า ในโลกดิจิทัล “ผู้กระทำทั้งที่เป็นรัฐและไม่ใช่รัฐมีศักยภาพพอที่จะก่อความเดือนร้อนให้แก่เราในหลายๆ ช่องทาง”
“เราต้องพยายามหาวิธีป้องกันที่ดีกว่านี้ ต้องจัดการกับมันเหมือน... อาชญากรรมอย่างหนึ่งในประเทศของเรา”
ส.ว.จอห์น แมคเคน จากพรรครีพับลิกัน ไม่เห็นด้วยกับ โอบามา ในประเด็นนี้ และบอกกับซีเอ็นเอ็นว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็น “สงคราม” อย่างหนึ่ง ขณะที่ ไมค์ โรเจอร์ส ส.ส.รีพับลิกันและประธานคณะกรรมการข่าวกรองแห่งสภาผู้แทนราษฎร ชี้ว่ากรณีนี้อาจไม่ถึงขั้นสงครามก็จริง แต่ โอบามา ทำไม่ถูกที่มัวใช้เวลา 2 สัปดาห์พักผ่อนกับครอบครัวที่รัฐฮาวาย แทนที่จะอยู่แก้ไขปัญหา
แม้จะถูกสหรัฐฯคว่ำบาตรมานานกว่า 50 ปี แต่บทลงโทษเหล่านี้กลับไม่สามารถหยุดยั้งการละเมิดสิทธิมนุษยชนและโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือได้
นักวิเคราะห์ระบุว่า เกาหลีเหนือเชี่ยวชาญการซุกซ่อนกิจกรรมผิดกฎหมายที่ช่วยนำรายได้เข้าประเทศโดยไม่ต้องผ่านระบบธนาคารทั่วไป
รัฐบาลโสมแดงออกมาปฏิเสธอีกครั้งเมื่อวันเสาร์(20)ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตี โซนี พิคเจอร์ส และพร้อมที่จะพิสูจน์เรื่องนี้ ขณะเดียวกันก็เสนอให้มีการตั้งทีมสอบสวนร่วมระหว่างวอชิงตันและเปียงยาง
สหรัฐฯ เริ่มขอคำปรึกษาจากพันธมิตรและหุ้นส่วนสำคัญ เช่น ญี่ปุ่น, จีน, เกาหลีใต้, รัสเซีย, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และสหราชอาณาจักร เพื่อหาทางยับยั้งพฤติกรรมก้าวร้าวของเกาหลีเหนือ