เอเอฟพี - เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุวานนี้ (6 พ.ย.) ว่า พบทหารอเมริกันมากกว่า 600 คนสัมผัสกับสารเคมีในอิรักนับตั้งแต่ปี 2003 ซึ่งเป็นจำนวนมากกว่าที่กระทรวงกลาโหมแดนอินทรีเคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้
นิวยอร์กไทม์ส เป็นเจ้าแรกที่เปิดเผยรายงานเรื่องนี้ หลังจากในเดือนนี้สื่อสำนักนี้ได้นำเสนอบทความต่างๆ ในเชิงว่าบางครั้งทหารอเมริกันที่รับมือกับคลังแสงอาวุธเคมีร้ายแรง ถูกสั่งให้ห้ามแพร่งพรายสิ่งที่พวกเขาไปพบเข้า
ไทม์สรายงาน โดยอ้างคำพูดเจ้าหน้าที่กลาโหมสหรัฐฯ ที่ระบุว่าเพนตากอนไม่ได้รับรู้ถึงระดับความรุนแรงของกรณีที่มีทหารในกองทัพสหรัฐฯ ถูกสารเคมีในอิรัก และไม่ได้คอยติดตามอาการ หรือเสนอให้การรักษาที่เหมาะสมแก่ทหารที่อาจล้มป่วยเหล่านั้น
ก่อนที่กองทัพสหรัฐฯ จะบุกอิรักเมื่อปี 2003 จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเวลานั้นได้เน้นย้ำว่าแบกแดดกำลังปิดบังโครงการอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงเอาไว้
หนังสือพิมพ์แดนอินทรีรายงานว่า แม้ว่ากองทัพสหรัฐฯ ไม่พบหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่า โครงการดังกล่าวมีอยู่จริง แต่ก็ตรวจพบเศษชิ้นส่วนคลังแสงเคมีเก่าแก่แห่งหนึ่ง ที่พวกเขายังไม่ได้เรียนรู้วิธีการรับมือ
ในตอนแรก ไทม์สรายงานกรณีที่มีทหารอเมริกัน 17 คนพากันล้มป่วยหลังจากสัมผัสแก๊สพิษซารินหรือซัลเฟอร์มัสตาร์ด จากนั้นก็มีรายงานเพิ่มเติมว่า มีทหารได้รับผลกระทบอีกราว 8 ราย
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กล่าวว่า รายงานผลการทบทวนข้อมูลของกองทัพสหรัฐฯ ฉบับใหม่ที่ ชัค เฮเกล รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ สั่งให้จัดทำขึ้นนั้นพบว่า กองทัพได้รับแจ้งจากทหารหลายร้อยนายว่า พวกเขาสัมผัสสารพิษ พร้อมกับยืนยันว่า รายงานข่าวของไทม์สตรงตามความเป็นจริง
เฮเกล ได้สั่งการให้มีการตรวจสุขภาพทหารที่ยังรับราชการ และที่ปลดประจำการแล้วอีกครั้ง โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่า ได้จัดตั้งสายด่วนของสหรัฐฯ ขึ้นมาเพื่อรับแจ้งเหตุ หากมีผู้สัมผัสกับสารเคมี และขอรับการรักษา
ไทม์สรายงานว่า หลังจากกองทัพสหรัฐฯ บุกอิรัก เพื่อโค่นล้มประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน กองกำลังแดนอินทรีก็ค้นพบหัวรบ กระสุนปืนใหญ่ และระเบิดที่บรรจุสารเคมีไว้ข้างในรวม 5,000 ชิ้น แต่ถูกสั่งให้เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ