เอเอฟพี - สถานทูตอเมริกาออกมาระบุในวันนี้ (19 ต.ค.) ว่ามีพยาน 4 รายได้เข้าให้ปากคำกับอัยการฟิลิปปินส์แล้ว สำหรับคดีที่นาวิกโยธินสหรัฐฯ ตกเป็นผู้ต้องสงสัยก่อเหตุฆาตกรรมกะเทยชาวฟิลิปปินส์รายหนึ่ง
“เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อัยการได้พบพยานทั้ง 4 คน และให้พวกเขาสาบานตนในการให้ปากคำไว้ในถ้อยแถลงตามกฎหมายของฟิลิปปินส์” สถานทูตสหรัฐฯ ระบุ
คำแถลงของสถานทูตฯ ชี้ว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งสัญญาณความร่วมมืออย่างต่อเนื่องของคดีฆาตกรรมครั้งนี้ ซึ่งพยานทั้งสี่พร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการพิจารณาคดี
คำแถลงของสถานทูตฯ ไม่ได้ระบุว่าใครคือพยานกลุ่มดังกล่าว แต่ทางการฟิลิปปินส์ได้เคยบอกไว้แล้วก่อนหน้านี้ ว่าอยากจะสอบปากคำนาวิกโยธิน 4 นาย ที่เชื่อกันว่ารู้เห็นเหตุการณ์ฆาตกรรมครั้งนี้
นอกจากนี้ยังมีนาวิกโยธินสหรัฐฯ อีกหนึ่งนายที่กำลังถูกสอบสวนเกี่ยวกับคดีการเสียชีวิตของ เจฟฟรีย์ เลาเด กระเทยชาวฟิลิปปินส์ ซึ่งถูกพบเป็นศพเมื่อวันที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่เมืองโอลองกาโป ในภาคเหนือ
เดิมทีอัยการของเมืองโอลองกาโป ต้องการให้ผู้ต้องสงสัยและพยานทั้ง 4 ราย ขึ้นให้ปากคำอย่างเป็นทางการในวันอังคาร (21 ต.ค.) อย่างไรก็ตาม ทางสถานทูตสหรัฐฯ ได้แจ้งว่า การให้ปากคำในวันอังคารของพยานทั้งสี่จะไม่มีอีกแล้ว เนื่องจากอัยการได้รับเอกสารคำแถลงการให้ปากคำของพวกเขาแล้ว
อย่างไรก็ตาม มีการเน้นย้ำว่าทางด้านผู้ต้องสงสัยจะยังคงมาปรากฏตัวในวันอังคารหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขาหลังการปรึกษาหารือกับทนายชาวฟิลิปปินส์
เหตุฆาตกรรมครั้งนี้ได้ขึ้นเป็นข่าวใหญ่อยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ และได้กลายเป็นประเด็นปัญหาความสัมพันธ์ด้านกลาโหมระหว่างฟิลิปปินส์และสหรัฐอเมริกา ที่เป็นมิตรกันมายาวนาน
ตำรวจระบุว่า พวกเขาพบเหยื่ออยู่ในสภาพกึ่งเปลือยอยู่บนพื้นห้องน้ำ ภายในห้องพักของโรงแรม โดยที่ตามตัวนั้นเต็มไปด้วยบาดแผลหลายแห่ง รวมถึงรอยฟกช้ำและรอยกัด ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตนั้นคือ “สำลักจากการจมน้ำ” โดยก่อนหน้าที่จะเสียชีวิตประมาณหนึ่งชั่วโมง เหยื่อได้เช็กอินเข้าห้องพักดังกล่าวพร้อมกับผู้ต้องสงสัย
ตำรวจและอัยการได้เปิดเผยชื่อผู้ต้องสงสัยว่าเป็น สิบตรีกองประจำการ โจเซฟ สกอต เพมเบอร์ตัน ซึ่งเคยประจำการที่ฐานในนอร์ทแคโรไลนา จนกระทั่งได้มามาเข้าร่วมในการซ้อมรบที่ฟิลิปปินส์
ภายใต้บทบัญญัติของข้อตกลงการนำกำลังทหารมาเยือน ซึ่งทั้งสองชาติได้ทำร่วมกันนั้น ผู้ต้องสงสัยจะถูกตั้งข้อหาและดำเนินคดีโดยศาลฟิลิปปินส์ แต่จะยังคงถูกควบคุมตัวไว้โดยฝ่ายอเมริกาจนกว่าทางสหรัฐฯ จะยอมส่งมอบตัวให้
นักการทูตของฟิลิปปินส์ระบุว่า พวกเขาจะขอควบคุมตัวผู้ต้องสัยพร้อมทั้งออกหมายจับ แต่ยังไม่ชัดเจนว่าทางสหรัฐฯ จะยอมหรือไม่
ฟิลิปปินส์เคยระบุว่า ข้อหาทางการเมืองจะไม่ถูกนำมาทำให้ความสัมพันธ์ด้านกลาโหมของทั้งสองชาติที่มีร่วมกันมายาวนานต้องสั่นคลอน ขณะที่แรงกดดันจากสาธารณชนก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ที่เรียกร้องให้ส่งตัวเพมเบอร์ตันมาให้ฟิลิปปินส์ควบคุมตัว