เทเลกราฟ - องค์การนิรโทษกรรมสากลได้ออกมาเรียกร้องให้มีการสอบสวน“อย่างโปร่งใส” ต่อข้อกล่าวหาที่ว่า ตำรวจไทยทรมานผู้ต้องหา ในยามที่สื่อไทยประโคมข่าวว่า การสืบสวนที่ผิดพลาดได้ทำให้สาธารณชนหมดความเชื่อถือในตัวตำรวจไทย
องค์การสิทธิมนุษยชนแห่งนี้แถลงว่า ไทยต้องเปิดทางให้มีการสอบสวนอย่างอิสระเป็นกลาง ต่อข้อกล่าวหาซึ่งกำลังเป็นที่โจษจันว่า ตำรวจทรมาน 2 แรงงานชาวพม่าเพื่อบีบให้รับสารภาพ เป็นคนสังหารสองนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ฮันนาห์ วิทเธอริดจ์ และเดวิด มิลเลอร์ ทั้งนี้ ผู้ต้องหาทั้งสองอาจถูกตัดสินประหารชีวิต หากศาลตัดสินว่ามีความผิดจริงตามข้อกล่าวหา
เมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา ชาวบ้านบนเกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี ได้พบศพของ วิทเธอริดจ์ หญิงสาวชาวอังกฤษวัย 23 ปี ที่เดินทางมาจากเมืองเกรทยาเมาธ์ และมิลเลอร์ นักท่องเที่ยวชายวัย 24 ปีจากเมืองเจอร์ซีย์
ชายชาวพม่า 2 คนที่ตำรวจระบุชื่อว่า ซอลิน และเวพิว ถูกจับกุมเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (3) หลังตำรวจแถลงว่า พวกเขายอมรับสารภาพว่า ได้สังหารชาวอังกฤษทั้งสองขณะตัวเองมึนเมา
อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้เริ่มมีเสียงกล่าวหาหนาหูขึ้นเรื่อยๆ ว่า ตำรวจซ้อม และขู่ช็อตไฟฟ้าแรงงานชายทั้งสองที่มีอายุ 21 ปี เพื่อให้พวกเขารับสารภาพ
ริชาร์ด เบนเน็ตต์ ผู้อำนวยการนิรโทษกรรมสากล ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ระบุว่า “ทางการไทยต้องเริ่มต้นสอบสวนอย่างอิสระ มีประสิทธิภาพ และโปร่งใส ต่อข้อกล่าวหาที่ว่า มีการทรมานและการกระทำทารุณอื่นๆ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ”
“การที่ (เจ้าหน้าที่) ถูกกดดันให้สะสางคดีสะเทือนขวัญ ซึ่งเป็นที่จับตามองอย่างกว้างขวางเช่นนี้ ไม่ควรส่งผลให้เกิดการละเมิดสิทธิ รวมทั้งกระทบกระเทือนต่อการดำเนินคดีที่เป็นธรรม”
เมื่อวันอังคาร (7) อ่อง เมียวตัน ทนายความที่สถานเอกอัครราชทูตพม่าประจำประเทศไทยว่าจ้างให้เป็นตัวแทนแรงงานชาวพม่าทั้งสองได้ออกมาเปิดเผยว่า ตำรวจทารุณผู้ต้องหา
เขาเปิดเผยกับสำนักข่าวอิรวดีว่า “เจ้าหน้าที่ตำรวจขู่จะจับพวกเขาช็อตไฟฟ้า และกล่าวว่า หากพวกเขายอมรับสารภาพ ก็จะไม่ต้องเจอเรื่องเลวร้ายอะไรอีก พวกเขาจึงต้องยอมรับสารภาพอย่างสิ้นหวัง”
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ได้ออกมาแถลงปกป้องการสอบสวน โดยบอกผู้สื่อข่าวว่า ตำรวจได้เก็บรวบรวมหลักฐานสมบูรณ์แล้ว ซึ่งผู้ต้องหาไม่มีทางดิ้นหลุด
อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์แถวหน้าของไทยเย้ย คำยืนยันของผู้บัญชาการตำรวจ โดยระบุว่า ตอนนี้สาธารณชนหมดความเชื่อถือในตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจ สืบเนื่องจากการสืบสวนที่ผิดพลาด
สนิทสุดา เอกชัย ผู้สื่อข่าวบางกอกโพสต์ระบุว่า “การสืบสวนคดีฆาตกรรมที่เกาะเต่าทำให้โลกรู้ว่า การทำงานของตำรวจไทยบกพร่องรุนแรงขนาดไหน นับตั้งแต่การปล่อยให้หลักฐานชิ้นสำคัญในที่เกิดเหตุปนเปื้อน และการตามรอยเบาะแสผิดๆ ไปจนถึงการที่หลักฐานขัดแย้งกัน และการทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่ดูน่าสับสน
เธอยังได้ประณามการสืบสวนครั้งนี้ว่าเป็น “ละครตลก” ในสายตานานาชาติ และอ้างว่าตำรวจไทยมี “ชื่อมานานแล้วในเรื่องจับคนจน ไร้อิทธิพลมาเป็นแพะรับบาป เพื่อช่วยอาชญากรที่ร่ำรวย มีเงินมากพอจะซื้อความบริสุทธิ์ให้ตัวเอง”
ตำรวจระดับผู้คับบัญชาต่างยืนกรานปฏิเสธว่า ไม่ได้ช่วยกันปกปิดผู้กระทำผิดตัวจริง แต่บรรดาเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่างประเทศที่ก่อนหน้านี้เคยเสนอจะช่วยเหลือทางการไทย ตอนนี้กล่าวว่าเริ่ม “กังวล” กับข้อกล่าวหาที่ว่า มีการทรมานผู้ต้องหา
หลังการจับกุมแรงงานชาวพม่าทั้งสองรายเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (3) สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส รายงานว่า มาร์ก เคนท์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทยได้กล่าวชื่นชมว่า ในระหว่างการสืบสวนคดีนี้ ตำรวจไทย “ได้แสดงตนเป็นแบบอย่างที่ดีของหน่วยปราบปรามอาชญากรรม ที่มีความเป็นมืออาชีพ”
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันจันทร์ (6) เคนท์ ได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่เคยกล่าวอะไรแบบนั้น และต่อมาก็มีการลบคำพูดดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ของไทยพีบีเอส โดยไม่มีการชี้แจงรายละเอียดใดๆ ทั้งสิ้น
บางกอกโพสต์ยังรายงานด้วยว่า ตอนนี้ยังมีข้อสงสัยในการสืบสวนคดีอีกมากมาย ที่กำลังรอให้ตำรวจไทยออกมาให้ความกระจ่าง เป็นต้นว่า “เกิดอะไรขึ้นกับผลการชันสูตรในตอนแรกที่ชี้ว่า เหยื่อไม่ได้ถูกข่มขืน ทำไมไม่ส่งถุงยางอนามัยใช้แล้วที่ตรวจพบในที่เกิดเหตุไปตรวจ ทำไมลูกชายอีกคนของผู้ใหญ่บ้านบนเกาะเต่าถึงไม่ต้องพิสูจน์ดีเอ็นเอ และเกิดอะไรขึ้นกับคลิปจากกล้องวีดีโอวงจรปิด ที่เผยภาพผู้ต้องสงสัยคนหนึ่ง มันถึงขาดหายไปตั้ง 2 นาที”
เนชัน ก็เป็นหนังสือพิมพ์ไทยอีกเจ้าหนึ่ง ที่ตั้งข้อสงสัยว่า ผู้ต้องหาทั้งสองคนเป็นคนกระทำผิดจริงหรือไม่และชี้ว่า “การดำเนินคดีผิดคน ก็เท่ากับว่า คนผิดยังลอยนวล และเกาะเต่าก็ยังไม่ปลอดภัย”
เนชันรายงานด้วยว่า “การที่ผู้คนพากันคลางแคลงสงสัยว่า ทำไมคดีนี้ถึงปิดลงอย่างเร่งรีบจะยิ่งสร้างความเสียหายให้กับการท่องเที่ยวไปอีกหลายปี”