เอเอฟพี – คณะผู้แทนในการเจรจาระบุวันนี้ (28 ก.ย.) ว่ากระบวนการอันยากลำบากในการปลดอาวุธกลุ่มมุสลิมฟิลิปปินส์ที่ก่อเหตุไม่สงบมานานหลายทศวรรษได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยคาดหมายว่าจะมีการปลดอาวุธปืนชุดแรกก่อนสิ้นปีนี้
วานนี้ (27) ผู้แทนในการเจรจาฝ่ายรัฐบาลฟิลิปปินส์ และกบฏมุสลิมได้เริ่มนัดประชุมกันที่มาเลเซีย เพื่อหารือถึงกระบวนการปลดอาวุธ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการยุติการก่อเหตุไม่สงบทางตอนใต้ของประเทศ และเพี่อปิดข้อตกลงสันติภาพฉบับหนึ่ง
ทั้งสองฝ่ายได้มอบหมายผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศจากประเทศ บรูไน ตุรกี และนอร์เวย์ ให้ร่วมกับองค์กรอิสระที่จะเข้ามากำกับดูแลกระบวนการปลดอาวุธ พร้อมกับผู้เชี่ยวชาญจากแดนตากาล็อกอีก 4 คน ซึ่งยังไม่มีการแต่งตั้ง
มีเรียม โคโรเนล-เฟร์เรร์ หัวหน้าผู้แทนเจรจาฝ่ายรัฐบาลฟิลิปปินส์ระบุในคำแถลงว่า “การปลดอาวุธเป็นขั้นตอนที่ซับซ้อนและยากลำบาก ในการทำข้อตกลงสันติภาพฉบับใดๆ ก็ตาม และเป็นขั้นตอนที่จะต้องดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและละเอียดอ่อน”
การประชุมจะดำเนินไปจนถึงวันพรุ่งนี้ (29)
ก่อนหน้านี้ โมฮักเฮอร์ อิกบาล หัวหน้าผู้แทนเจรจาฝ่ายกบฏกล่าวว่า อาวุธปืนสารพัดแบบ 75 กระบอก รวมถึง ปืนไรเฟิลความเร็วสูง (High-powered rifles) จะถูกนำไปเก็บในโกดังที่ปิดล็อกอย่างแน่นหนา โดยถือเป็นขั้นตอนหนึ่งของกระบวนการ “ทำให้เป็นมาตรฐาน” ที่กบฏจะนำปืนไปแลกกับโอกาสในการได้เป็นหนึ่งเดียวกับคนส่วนใหญ่ในสังคม
บังสาโมโรคือพื้นที่ทางตอนใต้ของเกาะมินดาเนา ที่ชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมในฟิลิปปินส์จะได้รับอำนาจปกครองตนเอง ตามข้อตกลงที่พวกเขาลงนามร่วมกับประธานาธิบดี เบนิโญ อากีโน เมื่อเดือนมีนาคม
ข้อตกลงสันติภาพฉบับนี้มุ่งยุติการสู้รบที่ยืดเยื้อมานานหลายทศวรรษ และคร่าชีวิตประชาชนไปหลายหมื่นคน ทั้งยังทำให้การพัฒนาแหล่งทรัพยากรแร่ธาตุหยุดชะงัก
เฟร์เรร์ได้กล่าวว่า สิ่งที่จะต้องทำเป็นอย่างแรกในการประชุมก็คือกลุ่ม “แนวร่วมแปลดปล่อยอิสลามโมโร” (เอ็มไอแอลเอฟ) จะต้องส่งรายชื่อนักรบและอาวุธที่มีในครอบครอง
กองทัพฟิลิปปินส์ประมาณการว่า กลุ่มเอ็มไอแอลเอฟมีนักรบ 10,000 คน ทว่า กบฏกลุ่มนี้ยังไม่เคยเปิดเผยจำนวนกำลังพล และอาวุธในคลังแสง
อิกบาลกล่าวว่า การปลดอาวุธจะถูกแบ่งออกเป็นขั้นเป็นตอน โดยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในการจัดส่งอาวุธให้รัฐบาล ในข้อตกลงสันติภาพ
สมาชิกสภานิติบัญญัติกล่าวว่า ร่างกฎหมายบังสาโมโรได้รับเสียงสนับสนุนจากทั้งสองสภา และจะประกาศใช้เป็นกฎหมายในต้นปีหน้า ทำให้อากีโนยังมีเวลาจัดตั้งรัฐบาลเขตปกครองตนเองก่อนสิ้นสุดวาระในการดำรงตำแหน่งผู้นำ ในกลางปี 2016